ไม่มีใครสะดุดภูเขา มีแต่คนสะดุดจอมปลวก
หลายคนอาจเคยได้ยินวลีนี้... “ไม่มีใครสะดุดภูเขามีแต่คนสะดุดก้อนหิน”
หลายคนอาจเคยได้ยินวลีนี้... “ไม่มีใครสะดุดภูเขามีแต่คนสะดุดก้อนหิน” ขยายความได้ว่า ไม่ค่อยมีใครพลาดเรื่องใหญ่กัน จะพลาดพลั้งก็ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ และสิ่งเล็กน้อยนี่แหละมักทำให้เราเจ็บตัว ฉะนั้นจงใส่ใจไว้ให้ดี
คม...
บางคนไปลึกกว่านั้น บอกว่าอย่าไปเครียดกับปัญหาใหญ่ที่คุณแก้ไม่ได้ ให้ใส่ใจในสถานการณ์เล็กๆ ที่จัดการตรงหน้า ระมัดระวังให้ดี แล้วเราจะเดินข้ามภูเขาใหญ่โดยปราศจากแผลถลอกเหวอะหวะ
คมอีก...
ที่เกริ่นมามิได้จะเปิดไลฟ์โค้ชอะไร เพียงแต่จะบอกว่ามีคนอธิบายวลีคล้ายๆ กันนี้อีกแบบ เมื่อกว่า 2,200 ปีที่แล้ว
วลีคล้ายๆ กันนี้ถูกบันทึกไว้ในตำราของหานเฟยจื่อ (韩非子) นักปรัชญาสายนิตินิยมที่มีชีวิตร่วมสมัยกับฉินสื่อหวงตี้ (จิ๋นซีฮ่องเต้)
อธิบายสักนิดสำนักคิดแบบนิตินิยมในจีนยุคนั้นเชื่อว่า ถ้าจะควบคุมสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดต้องใช้กฎหมายเคร่งครัด
นักคิดสายนิตินิยมปฏิเสธการนำจารีตประเพณี ความดีความงามที่อุปโลกน์ขึ้นมาปกครองประเทศ พวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งคิดกันไปเอง เพราะแท้จริงแล้วพื้นฐานของคนแต่ละคนเห็นแก่ประโยชน์ เห็นแก่ตัว เกลียดกลัวการเสียประโยชน์และโทษทัณฑ์ ฉะนั้นจะควบคุมใต้หล้าได้ ต้องใช้ประโยชน์และโทษทัณฑ์เข้าหลอกล่อและควบคุม
หานเฟยจื่อยกตัวอย่างไว้ว่า
...หากต้องการให้ชายในเมืองยิงธนูได้แม่นยำ ก็จงออกกฎหมายให้ใช้การแข่งยิงธนู ในการตัดสินคดีที่ไม่สามารถระบุถูกผิดชี้ขาดได้ ผู้คนทั้งเมืองย่อมยิงธนูเก่งขึ้นเอง...
สำหรับสำนักนิตินิยมจีนยุคนั้น กฎหมายคือเครื่องมือบังคับควบคุมพฤติกรรมผู้คน
ไม่ต้องแปลกใจที่ฉินสื่อหวงตี้-ผู้รวบรวมแผ่นดินจีนด้วยกำลังและกฎเข้มจะชื่นชอบในตำราที่หานเฟยจื่อเขียนเข้าเต็มๆ พระองค์แทบจะยกย่องตำราของหานเฟยจื่อให้เป็นเป็นตำราไลฟ์โค้ชประจำรัชกาล
แต่น่าแปลกใจที่ “ไม่มีใครสะดุดภูเขา มีแต่คนสะดุดก้อนหิน” ซึ่งคนสมัยนี้ยกขึ้นเป็นคำคมลับความคิด ดูไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับแนวคิดนิตินิยมของหานเฟยจื่อ
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ต้นฉบับของวลีนี้คือ “(คนเรา) ไม่สะดุดภูเขา แต่สะดุดจอมปลวก” (不踬于山,而踬于垤)
หานเฟยจื่ออธิบายว่า
“โบราณว่าไว้ ไม่มีใครสะดุดภูเขา มีแต่คนสะดุดจอมปลวก ก็เพราะภูเขาใหญ่ ผู้คนจึงมองเห็นง่าย จอมปลวกเล็ก จึงถูกมองข้าม...”
“...หากโทษทัณฑ์เบา ไม่ชัดเจนเด็ดขาด ผู้คนย่อมละเลย เท่ากับว่าขับไสและล่อลวงให้ผู้คนยิ่งทำผิด ดังนั้น โทษเบาจะทำให้ผู้คนไม่ระมัดระวังจนในที่สุดต้องสะดุดจอมปลวก หลักการปกครองที่เน้นการให้โทษทัณฑ์เบา ถ้าไม่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ก็ทำให้ผู้คนตกหลุมพราง (ลงมือทำความผิด) ถือเป็นการทำร้ายผู้คน (ที่แท้ True)”
แม้จะสุดโต่งไปบ้าง แต่ว่าก็มีส่วนจริง และแนวคิดนี้ยังถูกใช้มาอย่างยาวนาน
โทษทัณฑ์ในยุคโบราณของจีนและนานาวัฒนธรรม จึงเล่นใหญ่เข้าไว้ เพื่อควบคุมให้ผู้คนไม่กล้าทำผิด เพราะภูเขายิ่งใหญ่ยิ่งน่ายำเกรง
เพียงแต่โลกเรามีหลายมิติ ผู้คนที่ลงมือทำความผิดที่มีโทษทัณฑ์รุนแรง ก็ยังมีโผล่ให้เห็นอยู่ตลอด
อาจจะเพราะด้วยอุดมการณ์ขัดแย้งกับสภาพสังคม อาจจะเพราะด้วยอารมณ์ชั่ววูบ อาจจะเพราะด้วยความพลั้งเผลอ หรืออาจจะเพราะยังมีโอกาสรอดจากเงื้อมมือกฎหมาย
หลายข้อนั้นห้ามยาก เช่น อุดมการณ์เป็นสิ่งซับซ้อนทางสังคม ส่วนอารมณ์ชั่ววูบทำให้คนเห็นภูเขาเท่าจอมปลวก และความพลั้งเผลอเป็นสิ่งคาดเดาไม่ได้
แต่ข้อสุดท้ายที่ว่า “เพราะยังมีโอกาสรอดจากเงื้อมมือกฎหมาย” นี่สำคัญ สำหรับหานเฟยจื่อซึ่งเฝ้านำเสนอแนวคิดให้ผู้ปกครองใต้หล้าใช้ ถือว่าข้อนี้ยังอยู่ในการควบคุมของฝ่ายปกครอง
เขากล่าวว่า
“แดนใต้ของแคว้นฉู่มีทองคำมากมาย ผู้คนจึงหลั่งไหลมาขุดทองผิดกฎหมาย หลายคนถูกจับได้ มีไม่น้อยถูกประหารกลางตลาด แต่ยังมีการทำเหมืองทองผิดกฎหมายให้เห็น... หากเข้าไปถามผู้คนว่า “ถ้ายกโลกนี้ให้กับเจ้า แต่จงเอาชีวิตเจ้ามาแลกเป็นการตอบแทนจะเอาไหม?” ย่อมไม่มีใครยินยอม แต่เพียงเพื่อเศษทอง ไฉนจึงยังมีคนกล้าเสี่ยงตาย... นั่นก็เพราะยังมีโอกาสไม่ถูกจับ”
ในบทบาทของผู้ปกครอง มิติของโทษทัณฑ์นอกจากหนัก เบา เล็ก ใหญ่ จึงยังอยู่ที่ประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย
โทษหนักเพียงไร แต่หากมีช่องเล็ดลอดได้ง่าย ก็ทำให้มีคนพร้อมเสี่ยงลงมือทำความผิด ไม่ต่างจากโทษทัณฑ์เบา
ยิ่งโทษเบาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้ยิ่งแล้วใหญ่ มันทำให้ผู้คนส่วนหนึ่งถูกผลักไสและล่อลวงให้ทดลองทำความผิดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ทำความผิดในคดีใหญ่จำนวนไม่น้อยเคยทำผิดและเล็ดลอดในคดีเล็กๆ มาได้ จึงเป็นอาการของสังคมที่การใช้กฎหมายกำลัง “ทำร้าย ล่อลวง ผลักไส” ทั้งเหยื่อ อาชญากร และผู้คนในสังคม
“ทำผิดนิดๆ แล้วยังรอดพ้นกฎหมายได้ ทำใหญ่ขึ้นอีกหน่อยก็น่าจะไม่โดนจัดการ” โทษทัณฑ์ที่ย่อหย่อนคงพูดจาหลอกล่อประมาณนี้
แก๊งแว้นจะรวมตัวป่วนเมืองมากมายได้อย่างไร ถ้ามอเตอร์ไซค์เสียงดังเกินกำหนดถูกจับปรับตั้งแต่วาดลีลาฉายเดี่ยวบนท้องถนน
ขบวนการล่อลวงสาวไปค้ามนุษย์ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าการติดตามคดีคนหาย ล่อลวง ข่มขืน ส่วนใหญ่ถูกจัดการอย่างเรียบร้อย รัดกุม
คดียิงคนอย่างอุกอาจหลายคดีเกิดขึ้น เพราะฆาตกรรอดจากคดียิงคนที่ไม่มีปากไม่มีเสียงแล้วยังรอดกระบวนการยุติธรรมมาได้
ไม่ว่าจะเพราะการทุจริต หรือเพราะไม่มีประสิทธิภาพ การปล่อยคดีเล็กน้อยไปได้ ล้วนเพิ่มอัตราให้คนกล้าทำผิดในโทษใหญ่มีสูงขึ้น
แน่นอนว่าความผิดใหญ่ๆ ที่สังคมจับตามอง มักถูกเฝ้าสังเกตและจับตามองจนต้องรอบคอบและยุติธรรมมากที่สุด หลายคดีที่น่าสะพรึง ผู้คนคอยส่งเสียงเชียร์ให้เพิ่มโทษหนัก... จะได้ให้คนเห็นเป็นภูเขา ไม่วิ่งเข้ามาสะดุด ตามคอนเซ็ปต์หานเฟยจื่อ
แต่อีกด้าน การบังคับใช้กฎหมายในคดีเล็กๆ ให้ดีนี่แหละ ที่เป็นอีกทางออกสำคัญในการหยุดยั้งคดีใหญ่ตั้งแต่ต้นลม
มิติของกฎหมายจึงไม่ได้อยู่ที่จะให้โทษทัณฑ์เล่นใหญ่เป็นภูเขาเลากาเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะทำให้คนทุกคนที่สะดุดจอมปลวกเจ็บและจำตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วย
บังคับใช้กฎหมายในคดีเล็กๆ ให้เคร่งครัดรัดกุม จอมปลวกแห่งการกระทำผิดจึงจะไม่กลายเป็นภูเขามหึมา