posttoday

ความจำเป็นในการเติมไฟให้ชีวิต

02 กันยายน 2561

จากเด็กอ้วนผู้หลงใหลในศิลปะการอยู่นิ่งๆ เฉยๆพักหลังผู้เขียนผันตัวเองกลายมาเป็นคนเสพติดการออกแรง

โดย เพ็ญแข สร้อยทอง  

จากเด็กอ้วนผู้หลงใหลในศิลปะการอยู่นิ่งๆ เฉยๆพักหลังผู้เขียนผันตัวเองกลายมาเป็นคนเสพติดการออกแรง และเสียเหงื่อ ทำเอาเพื่อนฝูงซึ่งคบหากันมานานต่างก็แปลกใจไปตามๆ กัน

(แทบ) ทุกวันหลังเลิกงาน ผู้เขียนจะมุ่งหน้าไปฟิตเนสเพื่อออกกำลังกาย ซึ่งข้อดีของการออกกำลังกายตอนค่ำๆ ก็คือ คลายเครียด

ระหว่างออกกำลังกาย เราจะลืมปัญหาซึ่งเจอมาทั้งวัน ไป (เกือบ) ทั้งหมด พอเหงื่อออกแล้วก็มีความสุข กลับไปนอน และตื่นมาอย่างมีพลัง พร้อมจะทำงานในวันต่อไป ในวันหยุด ผู้เขียนยังมีแรงตื่นแต่เช้าไปเดิน-วิ่งในสวนสาธารณะได้อีก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ “คนเช้าตรู่” มาตลอดชีวิต

เมื่อมองย้อนกลับก็บอกกับตัวเองว่า ... คนเราเปลี่ยนกันได้ ถ้าหากเรามุ่งมั่นมากพอ และถ้าหากได้ยินเพื่อนฝูงคนรู้จักบ่นให้ได้ยินว่า เหนื่อยกับงานหรือเพลียกับชีวิต ผู้เขียนก็มักจะแนะนำไปว่า ไปออกกำลังกาย หรือทำอะไรที่ไม่เคยทำดู

เพราะสำหรับผู้เขียนแล้ว ในแง่หนึ่งการออกกำลังกายอย่างมีเป้าหมายเป็นคำตอบและทางออกของภาวะเหนื่อยกับงาน หรือเพลียกับชีวิต รวมไปถึงสภาพแล้งไร้ไฟฝัน ขาดแพสชั่น หรืออะไรทั้งหลายทำนองนี้ และอาการอย่างที่ว่าไปนั้นก็สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ โดยเฉพาะคนในวัยทำงาน

ก่อนที่จะเริ่มไปออกกำลังกาย ผู้เขียนปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปราวกับใช้โปรแกรม “ออโต้ไพลอต” ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ไปวันๆ พร้อมกับสั่งสมผลกระทบแย่ๆ ให้เพิ่มพูน ละเลยการดูแลทั้งร่างกาย จิตใจ รวมไปถึงความสัมพันธ์ และสังคม ทั้งๆ ที่รู้ แต่ก็ไม่คิดจริงจังในการค้นหาสาเหตุ และพยายามแก้ไข

แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึงในวันหนึ่ง เมื่อผลกระทบแย่ๆ จากการใช้ชีวิตปรากฏเป็นรูปธรรมในผลตรวจสุขภาพประจำปี ที่ระบุว่า ผู้เขียนกำลังจะก้าวขาข้างหนึ่งไปเผชิญกับ “โรคอ้วน”!

หลังจากจมจ่อมกับความเศร้าใจอยู่หลายวัน ผู้เขียนก็ฉุดตัวเองขึ้นมาครุ่นคิดอย่างจริงจัง จนมองเห็นภาพที่ชวนหวาดหวั่น หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ เมื่อถึงตอนนั้นคงจัดการรับมือสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่ไหว แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนนี้อาจจะพอเป็นไปได้

เวลาผ่านพร้อมกับการเรียนรู้เพื่อหาวิธีการและหนทางที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกกำลังกาย การพักผ่อนการกิน การใช้เวลา การแยกแยะความสำคัญ ฯลฯ ผู้เขียนเริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแปลง จากการเก็บเป้าหมายเล็กๆ ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ไป ถ้าไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างทาง หรือไม่ท้อถอยเลิกไปเสียก่อน เวลานี้ของปีหน้า ผู้เขียนน่าก็จะลบคำว่า “โรคอ้วน” ออกจากผลการตรวจสุขภาพประจำปีได้ และไม่ต้องไปให้หมอมานั่งอบรมว่า คุณต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะห่างจากโรคซึ่งมาจากการกินอยู่ของตัวเอง

การปฏิวัติเล็กๆ นี้ ไม่ได้มีผลเฉพาะกับเรื่องสุขภาพร่างกาย ด้วยเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้ตัวเองต้องปรับเปลี่ยนหลายอย่าง ตั้งแต่วิธีคิด และการใช้ชีวิต เกิดเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ อันชวนตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และฟื้นฟูจิตใจ ทำให้อาการเหนื่อยกับงานหรือเพลียกับชีวิตนั้นเฟดจางไปๆ

การออกกำลังกายอย่างมีเป้าหมายไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือหรือวิธีการเดียวในการรักษาอาการหมดไฟ แล้งไร้ความฝัน หรือเบื่อ เหนื่อย เพลียกับชีวิตและงาน แต่ละคนสามารถค้นหาหนทางซึ่งเหมาะกับตัวเองได้ อาจเริ่มต้นจากคำว่า แพสชั่น (Passion) หรือสิ่งที่เรา (เคย) อยากทำ สิ่งที่คุณ (เคย) หลงใหล

ถ้าหาไม่เจอก็ลองส่งตัวเองไปเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ไปศึกษาเทคนิคการถ่ายรูป ทำงานฝีมือ ฝึกปรุงอาหาร เข้าคอร์สการตลาดดิจิทัลหัดเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ฯลฯ สร้างแรงจูงใจ กำหนดเป้าหมาย ไม่ต้องใหญ่เกินเอื้อม หรือสูงกว่าจะคว้า แค่เล็กๆ แล้วทำให้สำเร็จ สร้างความเชื่อมั่นไปเรื่อยๆ

ณ จุดหนึ่ง ตัวเราเองจะได้ตระหนักถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ หรือการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งมอบผลที่เกินคาดหวัง