มหัศจรรย์กำแพงเมืองจีน
เรากลับมาพบกันอีกครั้งกับคอลัมน์ “อ้ายจงเล่าจีน”
โดย ภากร กัทชลี เจ้าของเพจ 'อ้ายจงเล่าจีน' นักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยซีเตี้ยน เมืองซีอาน มณฑลส่านซี
เรากลับมาพบกันอีกครั้งกับคอลัมน์ “อ้ายจงเล่าจีน” วันนี้ตัวอ้ายจงเองมาหาที่สงบ อากาศเย็นๆ สบายๆ ถึงเมืองปาย จ.แม่ฮ่องสอน และมาถึงเมืองปายทั้งที มีแต่คนแนะนำว่าต้องไปชมทะเลหมอกยามเช้าที่หมู่บ้านสันติชล หมู่บ้านจีนหยุนหนาน (ยูนนาน) ให้ได้
เมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ไม่ผิดหวัง ได้เห็นทะเลหมอกและกลิ่นอายของความเป็นจีน โดยเฉพาะมีการสร้าง “กำแพงเมืองจีนจำลอง” ให้รู้ว่านี่คือหมู่บ้านคนจีนจริงๆ นะ ไม่ได้มาผิดหมู่บ้าน
เมื่อเห็นแบบนี้ทำให้ตัวอ้ายจงฉุกคิดได้ว่า เวลาที่เราเอ่ยถึงประเทศจีนสิ่งที่หลายคนนึกถึงไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนประเทศไหนๆ ก็ตาม ก็คงจะหนีไม่พ้น “กำแพงเมืองจีน“ เพราะกำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองจีน เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองจีนและเป็นสิ่งที่คนจีนภูมิใจอย่างมาก ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคสมัยใหม่ อีกทั้งยังได้รับคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกในปี 2530 อีกด้วย
เมื่อพูดถึงกำแพงเมืองจีนหลายคนคงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า กำแพงเมืองจีนใหญ่ขนาดไหนและมีกี่ด่าน ครอบคลุมทั้งประเทศจีนหรือไม่?
กำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่และยาวมาก โดยจากการสืบค้นข้อมูลพบว่าวัดระยะทางทั้งหมดคือ 8,851.8 กิโลเมตร หรือประมาณ 5,500 ไมล์ ดังสมญานามกำแพงหมื่นลี้ มีลักษณะของมังกรพาดตัวยาวจากมณฑลเหลียนนิงถึงมณฑลกานซู่ ผ่านมณฑลต่างๆ ได้แก่ เหอเป่ย์ ปักกิ่ง เทียนจิน ซานซี ส่านซี มองโกลเลียใน และหนิงเซี่ย
ในแต่ละเมืองกำแพงเมืองจีนแบ่งเป็นด่านต่างๆ ดังนี้
- เหลียนหนิง 2 ด่าน ได้แก่ หูซานและจิ่วเหมินโข่ว
- เหอเป่ย์ 3 ด่าน ได้แก่ ซานไห่กวนสี่เฟิงโข่ว และซานต้าวกวน
- ปักกิ่ง 9 ด่าน ได้แก่ ปาตาหลิง มู่เทียนยวี่ จูยงกวน ซื่อหม่าไถ จินซานหลิ่ง กู่เป๋ยโข่ว หวงฮวาเฉิง เจี้ยนโค่ และสุ่ยกวน
- เทียนจิน 2 ด่าน ได้แก่ หวงหยากวนและไท่ผิงจ้าย
- ซานซี 6 ด่าน ได้แก่ กู้กวน เนี่ยงจื่อกวน หนิงอู่กวน เพียนกวน ผิงสิงกวน และย่านเหมินกวน
- ส่านซี 2 ด่าน ได้แก่ ยวี่หลินและกำแพงเมืองจีนสมัยราชวงศ์เว่ย
- มองโกลเลียใน 2 ด่าน ได้แก่ จีลู่ซ่าย (ป้อมปราการ) และเกาเชวซ่าย (ป้อมปราการ) สำหรับมองโกลเลียใน กำแพงเมืองจีนถูกทำลายจนเกือบหมด จึงเหลือแต่เพียงป้อมปราการเท่านั้น
- หนิงเซี่ย 1 ด่าน ได้แก่ ซานกวนโข่ว
- กานซู่ 4 ด่าน ได้แก่ ตันหวง (กำแพงเมืองจีนราชวงศ์ฮั่น) เจียยวี่กวน หยางกวน และยวี่เหมินกวน
ในความเป็นจริงแล้วกำแพงเมืองจีนยังคงมีอีกหลายด่านแต่โดนทำลายไป จนในปัจจุบันเหลือเพียง 1 ใน 3 ของกำแพงเมืองจีนทั้งหมด ดังรายชื่อด่านและป้อมปราการที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากกำแพงเมืองจีนด่านที่อยู่บนบกบนพื้นดินแล้ว จีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่บางส่วนติดกับทะเล ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการรุกรานของข้าศึกจากทุกด้าน จึงจำเป็นต้องมีกำแพงเมืองจีนเพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึกที่มาทางทะเล ซึ่งมีกำแพงเมืองจีนทางทะเล เพียงด่านเดียวที่เมืองฉินฮว๋างต่าว คือ ด่านซานไห่ หรือซานไห่กวน ในภาษาจีน แปลเป็นไทย คือ ด่านภูเขาทะเล
ด่านซันไห่สร้างขึ้นในสมัยหมิงไท่จู่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิง โดยเป็นความคิดของสวีต๋า แม่ทัพคนสำคัญของหมิงไท่จู่ ที่เล็งเห็นว่าหากไม่มีกำแพงเมืองจีนด่านทะเลที่นี่ จะทำให้ข้าศึกสามารถบุกโจมตีได้โดยง่าย โดยถือเป็นด่านแรกที่เป็นด่านที่สกัดกั้นศัตรูผู้รุกราน โดยเฉพาะจากมองโกล แมนจู เติร์ก ราชวงศ์หมิงต้องถูกโค่นลงจากแมนจู ก็เป็นผลมาจากกำแพงเมืองจีนด่านนี้แตก (อู๋ ซานกุ้ย แม่ทัพสมัยราชวงศ์หมิงตอนปลายได้นัดแนะกับฝ่ายแมนจู เพื่อเปิดด่านจนทหารแมนจูสามารถบุกเข้าไปถึงกู้กง-พระราชวังต้องห้ามได้สำเร็จ)
จุดเด่นของด่านนี้ นอกจากจะเป็นด่านแรกของกำแพงเมืองจีนและเป็นด่านที่ป้องกันผู้รุกรานทางทิศเหนือของปักกิ่ง ยังเป็นด่านเดียวที่ติดกับทะเล (ทะเลป๋อไห่) โดยจุดที่อ้ายจงมาเที่ยว มีลักษณะเป็นหัวมังกรยื่นลงไปทะเล โดยเรียกว่า “老龙头 หัวมังกรเฒ่า”
ด่านซานไห่เป็นด่านที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น อย่างเช่น ตำนานของแม่นาง “เมิ่งเจียงหนี่ว” ที่เพิ่งจะแต่งงานกับสามีได้ไม่กี่วันสามีก็ถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพงเมืองจีน หลังจากสามีถูกเกณฑ์ตัวไป เธอไม่ได้ยินข่าวคราวของสามีอีกเลย พอเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงสามีว่าจะทนกับสภาพอากาศหนาวที่เลวร้ายได้หรือไม่ เธอจึงถักเสื้อกันหนาวและดั้นด้นไปหาสามีของเธอเพื่อนำเสื้อกันหนาวไปให้
แต่เมื่อไปถึงก็ต้องพบกับข่าวร้ายว่าสามีของเธอได้เสียชีวิตลงและถูกฝังอยู่ใต้กำแพงเมืองจีน ข่าวร้ายนี้ทำให้เธอร้องไห้เป็นสายเลือดอยู่หลายวัน จนกระทั่งกำแพงถล่มลงมา เธอจึงได้พบร่างของสามี ก่อนที่เธอจะเอาหัวโขกกำแพงตายตามสามีไป ซึ่งกำแพงเมืองจีนตรงจุดนั้นคือ “ด่านซานไห่”
เมื่อพูดถึงกำแพงเมืองจีน ตัวอ้ายจงจะนึกถึงโฆษณาชิ้นหนึ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักบินอวกาศสามารถมองเห็นหลังคาบ้านได้ เพราะสีนั้นโดดเด่นสะดุดตา ซึ่งเรื่องนี้ก็คล้ายคลึงกับความเชื่อของคนจีนในสมัยก่อนที่เชื่อว่า สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากนอกโลก
แต่ในความเป็นจริงแล้วประมาณ 100 ปีที่แล้ว มีคำกล่าวอ้างว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างสิ่งเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศนอกโลก แม้กระทั่งในหนังสือ Ripley’s Believe It or Not! ก็ระบุคำกล่าวนี้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อสหรัฐสามารถส่งนักบินอวกาศไปเยือนดวงจันทร์ได้สำเร็จ และ นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศที่ไปเยือนดวงจันทร์ในครั้งนั้น กล่าวว่า ไม่สามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างใดๆ บนโลกมนุษย์ได้เลย นอกจากทวีป ทะเล พื้นแผ่นดิน โดยสิ่งก่อสร้างต่างๆ ถูกกลมกลืนไป เนื่องจากความสามารถในการมองเห็นของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ไกลจากนอกโลก
แต่คนจีนส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่เชื่อในคำกล่าวของ นีล อาร์มสตรอง พวกเขายังคงเชื่อว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่และมีขนาดยาวกว่าหมื่นลี้ จึงน่าจะสามารถมองเห็นได้ แม้จะอยู่ในที่ห่างไกลจากนอกโลก ด้วยเหตุนี้ทำให้มีนักบินอวกาศหลายต่อหลายคนพยายามมองหากำแพงเมืองจีนจากอวกาศ แต่ทุกคนต่างมีคำตอบเดียวกันหมด คือ ไม่สามารถมองเห็นได้
จนกระทั่งจีนส่งนักบินอวกาศจีนชื่อ หยาง ลี่เหว่ย ขึ้นไปสำรวจอวกาศเมื่อปี 2547 เมื่อเขากลับลงมาสู่พื้นโลก ได้ยืนยันเหมือนนักบินอวกาศคนที่ผ่านมาอีกครั้งว่าไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศ สามารถมองเห็นได้เพียงแค่พื้นน้ำ ทวีป สีฟ้าสีขาว ที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นสิ่งใดบ้าง
เมื่อนักบินอวกาศเชื้อชาติจีนยืนยันถึงเพียงนี้ ประกอบกับภาพถ่ายจากอวกาศ ทำให้คนจีนและประชาชนทั่วโลกต่างยอมรับว่าคำกล่าว “สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากนอกโลก” ไม่เป็นความจริง