posttoday

The Last Emperor ชีวิตปูยี

02 ธันวาคม 2561

ว่ากันว่า ตัวแทนความอิสระของปูยีในวัยเด็กมีเพียงสองสิ่ง

ว่ากันว่า ตัวแทนความอิสระของปูยีในวัยเด็กมีเพียงสองสิ่ง หนึ่งคือแว่นสายตา และสองคือจักรยาน ประโยคข้างต้นคงได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์เรื่อง The Last Emperor ของ แบร์นาร์โด แบร์โตลุชชี (Bernardo Bertolucci) ผู้กำกับชาวอิตาลีที่เพิ่งจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา แม้จะดูเป็นบทสรุปในอารมณ์ดราม่าแบบภาพยนตร์ แต่ก็ไม่ไกลจากความเป็นจริง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ชะตาชีวิตของจักรพรรดิจีนองค์สุดท้ายเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ชื่อ The Last Emperor แม้ไม่เอ่ยว่าเป็นของอาณาจักรใด ประหนึ่งว่าปูยีไม่ใช่เพียงจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน แต่คือจักรพรรดิองค์สุดท้ายของโลก

ในมุมหนึ่งคือความจริง ปูยีปิดฉากจักรพรรดิองค์สุดท้ายของโลกยุคเก่า และในยุคใหม่ซึ่งนิยามและที่ทางของจักรพรรดิจำต้องเปลี่ยนไป ย่อมไร้ซึ่งจักรพรรดิเช่นเขาอีก ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องตัดสลับไปมา ระหว่างชีวิตครึ่งหลัง และครึ่งแรกของเขา

หนึ่งในสื่อที่ภาพยนตร์เล่าแสดงออกมาทางสีสันจากฉากรถไฟเทียบชานชาลาอันหมองหม่น ปูยีวัยกลางคนซึ่งต้องโทษกบฏถูกย้ายสู่เรือนจำ สีสันในภาพยนตร์มอมแมมมืดมน จิตใจปูยีก็ไม่ต่างกัน แล้วสีสดแรกก็ปรากฏ คือสีแดงเข้มในอ่างล้างหน้าที่นอนก้นรอบข้อมือปูยี เป็นสีเดียวกับประตูที่เปิดออกมาพร้อมบัญชาเรียกตัวปูยีในวัยไม่ถึง 3 ขวบดีเข้าพระราชวังในฉากถัดมา

นี่เป็นอีกครั้งของการพลิกผันครั้งใหญ่ ก่อนปูยีเข้าวังฮ่องเต้กวางสูเพิ่งสวรรคตไป แล้วตามด้วยซูสีไทเฮา-ผู้นำตัวจริงของอาณาจักร จากไปหมดแล้ว

ฮ่องเต้ที่เราคุ้นชินมักมีอำนาจสั่งการได้ตามใจ แต่ The Last Emperor แสดงให้เห็นว่า ปูยียังต้องอยู่ใต้พระราชประเพณีแห่งสถาบัน สิ่งที่ทำให้พ่อของเขาและปวงชนใต้หล้าต้องก้มลงแทบเท้า คือสิ่งเดียวกันที่ทำให้เขาถูกพรากจากอกแม่ตั้งแต่ยังไม่ถึง 3 ขวบ

ในพระราชพิธีครองราชย์อันยิ่งใหญ่ หนูน้อยปูยีกลับสนใจเพียงผ้าสีเหลืองสดใสที่ปลิวไสว กับเสียงจิ้งหรีดร้องในเสื้อขุนนางคนหนึ่งกลางขุนนางนับพัน ขุนนางคนนั้นเปิดกระปุกและถวายจิ้งหรีด สีเหลืองสดใสในวันนั้น เป็นฉากที่สว่างสดใสที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้

ปูยีถูกรายล้อมเอาใจด้วยขันที มีเพียงแม่นมที่ติดตามเข้าวังมาได้ แต่ไม่กี่ปีเธอก็ถูกพรากจากไป ภาพยนตร์ไม่ได้อธิบายเหตุผล ปล่อยให้ผู้ชมรู้สึกใจสลายด้วยความไม่เข้าใจพร้อมกับปูยี แม้วัยเด็กของปูยีจะน่าสงสารและน่าใจหาย โลกภายในกำแพงสีแดงก็ยังนับว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำอันน่าสนุก

เมื่ออายุ 7 ขวบ เขาเพิ่งได้พบน้องชายในสายเลือดซึ่งกลายเป็นทั้งเพื่อนเล่นและคนสนิท อย่างน้อยภายในอาณาจักรกำแพงสีแดงเขาคือฮ่องเต้ตัวจริง แต่พระองค์กลับไม่สามารถรับรู้ความจริงภายนอกได้ชัดเจน ทรงถูกกักขังในพระราชวังต้องห้ามด้วยฐานะอันศักดิ์สิทธิ์

จนปูยีได้พบกับพระอาจารย์ชาวสกอตแลนด์ ที่ชื่อ เรจินัลด์ จอห์นสตัน (Reginald Johnston) ผู้ที่ทำให้ปูยีได้รับรู้ว่าโลกภายนอกวังนั้นเป็นอย่างไร จอห์นสตัน มาพร้อมกับภาพที่มีสีสันต่างไป ฟ้าใส ใบไม้เขียว อย่างที่มันควรจะเป็น

ช่วงพระราชพิธีอภิเษกสมรสทำให้โลกในวังเต็มไปด้วยสีแดงอีกครั้ง แต่โลกภายนอกกำลังเปลี่ยนไป ภาพยนตร์ไม่ลงรายละเอียด ไม่ว่าการปฏิวัติ สละราชสมบัติ ขบวนประท้วงรัฐบาลใหม่ และสงครามระหว่างกลุ่มขุนศึก ซึ่งนำไปสู่การขับไล่ปูยีออกจากวัง แต่สิ่งที่ผู้คนรับรู้ได้ คือสภาวะจิตใจของปูยีที่ต้องผ่านวิกฤตที่ถาโถมมาแต่ละระลอก

จักรพรรดิและครอบครัวต้องระหกระเหินสู่เทียนสิน เขาใช้ชีวิตเพลย์บอย ในงานลีลาศรื่นเริงแต่เพลงที่ปูยีร้องกลับชื่อว่า “Am I Blue”...“ฉันเศร้าหรือ”จอห์นสตันจากจีนไปในช่วงนี้ ในวันที่ปูยีไปส่ง แสงแดดส้มอบอุ่นจากไปพร้อมจอห์นสตัน

ปูยีถูกญี่ปุ่นใช้เป็นจักรพรรดิหุ่นเชิด ชีวิตครอบครัวของเขาแหลกสลาย พระสนมขอหย่า พระมเหสีติดฝิ่น หลายฉากในช่วงชีวิตนี้ของปูยี เต็มไปด้วยสีน้ำเงินผิดธรรมชาติ แม้พิธีสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งแมนจูกัว ดูเหมือนจะเป็นโอกาสของเขาอีกครั้ง แต่มันกลับเป็นสีส้มหมอง และมีแต่จะหม่นมืดลงไป

สงครามโลกยุติ ญี่ปุ่นแพ้ ปูยีถูกทหารรัสเซียจับส่งกลับมาเป็นนักโทษทางการเมืองของจีน ปูยีฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ... ในค่ายกักกันปรับทัศนคติ ชีวิตของปูยีที่เย็นชาสะท้อนมาเป็นสีภาพเกือบขาวดำ ปูยีต้องชำระบาปด้วยการสารภาพความผิดของตน เขาอยู่ในนั้น 9 ปี

สีสันกลับมาสู่ชีวิตปูยีอีกครั้ง เมื่อเขาเป็นสามัญชน เป็นพนักงานในสวนพฤกษศาสตร์ ดูเหมือนเขาเข้าใจชะตากรรม ใบไม้ก็กลับมาเขียวสดดังที่ควรจะเป็น แต่สีสันน่าสงสัยก็แทรกเข้ามา ฉากหนึ่งปรากฏภาพไฟจราจร... เขียว=หยุด แดง=ไป

ยุคปฏิวัติวัฒนธรรม... เหมือนว่าปูยียังไม่เข้าใจ เขาแทรกตัวในขบวนเรดการ์ด เพื่อท้วงว่าหนึ่งในคนที่ถูกลากออกมาประณาม คืออดีตผู้คุมสถานกักกันที่ปูยีเคยรู้จักนั้นเป็นคนดี สีแดงสดและชุดดำของเหยื่อเรดการ์ด แสดงถึงความรุนแรงอันน่าเศร้าที่เริ่มก่อตัวขึ้นสวนทางกับชีวิตปูยีซึ่งใกล้จะจบลง

สีส้มอบอุ่นกลับมาอีกครั้งในฉากสุดท้าย ปูยีซื้อบัตรเข้าวังต้องห้ามซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเขา และเพื่อพิสูจน์กับเด็กน้อยลูกเจ้าหน้าที่เฝ้าท้องพระโรงว่าเขาคือฮ่องเต้ เขาขึ้นนั่งบนบัลลังก์เหมือนเมื่อครั้งยังเด็กแล้วเอื้อมตัวไปหยิบกระปุกจิ้งหรีดที่ซ่อนอยู่ขึ้นมาเด็กน้อยเปิดกระปุก จิ้งหรีดไต่ออกมา แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นปูยีก็หายไป...

ปูยีเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1967 ความเหนือจริงหนึ่งเดียวในฉากสุดท้าย ปลุกให้เราตื่นขึ้นว่านี่คือภาพยนตร์ ไม่ใช่ภาพประวัติศาสตร์ ความเหนือจริงอย่างจงใจสลักฉากนี้ลงในใจผู้ชมตลอดไป The Last Emperor ออกฉายในปี 1987 ได้ 9 รางวัลออสการ์ 9 (ทุกสาขาที่เข้าชิง)

เป็นธรรมดาของภาพยนตร์ ที่การแต่งเติมเสริมเรื่องเพื่อกระชับการรับรู้และเพิ่มอรรถรส ในขณะที่ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์หลายเรื่องอาจพาเราจินตนาการเตลิดออกจากประวัติศาสตร์ The Last Emperor กลับทำให้ผู้คนได้เปิดใจและทำความเข้าใจชีวิตของจักรพรรดิองค์สุดท้ายตัวจริงได้มากขึ้น

ไร้ซึ่งภาพยนตร์ The Last Emperor ชื่อปูยีคงมิได้อยู่ในใจใครหลายคนอย่างทุกวันนี้ (เพื่ออรรถรสของสำเนียงในภาพยนตร์ เสียงของตัวละครและเมืองในบทความข้างต้น จึงใช้สำเนียงเดียวกับในเรื่อง)

...จากบันทึกของหลี่ซูเสียน - ภรรยาคนสุดท้ายของผู่อี๋ (溥仪, ปูยี) หลังสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เขานำภรรยาเที่ยวชมวังต้องห้าม และแอบกระซิบเล่าเรื่องราวมากมายที่ผู้คนไม่รู้ ด้วยกลัวมีคนได้ยิน แต่จนแล้วจนรอดก็มีคนได้ยินและถามเขาว่า “ทำไมรู้ลึกขนาดนี้” ผู่อี๋ปฏิเสธว่า “ไม่ได้รู้ลึก ไม่ได้รู้ลึก” พร้อมเดินปลีกตัวออกมา