วัดเบญฯสร้างสัตตมหาสถาน สานต่อพระราชปณิธาน รัชกาลที่ 5
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เตรียมสืบสานพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
โดย สมาน สุดโต
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เตรียมสืบสานพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยการสร้างสัตตมหาสถานตามพระราชดำริ เมื่อ 117 กว่าปีมาแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราชเจ้า รัชกาลที่ 5 ได้ทรงประกาศสถาปนาวัดเบญจมบพิตรขึ้น เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2442 วัดนี้เป็นที่รู้จักทั่วโลกว่า The Mable Temple เพราะพระอุโบสถ พระระเบียงสร้างสรรค์ด้วยศิลปะ สถาปัตยกรรมไทยที่งดงามยิ่ง ประดับด้วยหินอ่อนอย่างดีที่สุด จากประเทศอิตาลี
พระปริยัติธรรมธาดา (ทองคำ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กล่าวว่า นอกจากความงดงามของพระอุโบสถและสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ อันเป็นหน่อจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2452 ด้านหลังพระอุโบสถ โดยตั้งพระราชปณิธานว่าจะทรงสร้างให้เป็นเจติยสถานอันหนึ่งในพระอาราม (วัดเบญฯ ไม่มีเจติยสถานเหมือนวัดทั่วไป)
พระเทพกิตติเวที เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน เขียนถึงต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในหนังสือโพธิมณฑล พุทธานุสรณ์ว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นต้นไม้ที่มีคนกราบไหว้กันมากที่สุดในโลกและเป็นที่เคารพยิ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์สถาปนาวัด โดยเมื่อถึงวันเข้าพรรษา พระองค์ได้เสด็จฯ มา “ทรงจุดเทียนนมัสการแลถวายพุ่มพระพุทธชินราช แลถวายพุ่มพระฝาง...แลพระศรีมหาโพธิ์” เป็นประจำทุกปีมิได้ขาด แม้ทางคณะสงฆ์เองก็ได้ดำเนินตามอย่างต่อๆ มา
ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ มีความเป็นมาว่า เมื่อ ร.ศ. 110 (พ.ศ. 2434) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อดำรงพระยศที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสด็จราชการยุโรปและอินเดีย ได้เชิญหน่อพระศรีมหาโพธิ์ จากพุทธคยา อินเดีย มาทูลถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระองค์โปรดฯ ให้นำไปเพาะเลี้ยงที่วัดอัศฎางคนิมิตร ศรีราชา ผ่านไป 9 ปี จึงอัญเชิญมาปลูก ณ วัดเบญจมบพิตร ด้วยพระองค์เอง
ส่วนสัตตมหาสถานที่จะสร้างบริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ปรากฏในพระราชหัตถเลขา วันที่ 30 ต.ค. 2452 ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทาน กรมหลวงวชิรญาณวโรรส (สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส) ว่าจะทรงสร้างพระพุทธรูปถวายเนตร ในที่ใกล้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ วัดเบญจมบพิตร สมมติว่าเป็นอนิมิสเจดีย์ ในใต้รากฐานพระจะฝังอัฐิและอังคาร พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภชพระราชปิโยรส ประสูติวันที่ 15 ต.ค. (ร.ศ. 112) สิ้นพระชนม์วันที่ 20 ก.ย. (ร.ศ. 128) จึงทรงขอหัวข้อธรรมะที่จะจารึก ต่อจากชื่อผู้สิ้นพระชนม์
(ส่วนพระอัฐิของพระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ซึ่งเดิมจะมีพระราชประสงค์จะนำมาบรรจุที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ แต่ต่อมาเมื่อมีพระราชประสงค์จะทรงสร้างสัตตมหาสถาน ก็ให้ย้ายการบรรจุไปที่ศาลาเล็กริมถนน เพราะทรงมีพระราชประสงค์ว่า “จะไม่ให้การก่อสร้างอะไรทับรากต้นโพธิ์”)
ต่อมากรมหลวงวชิรญาณวโรรส ทรงค้นคว้าเรื่องสัตตมหาสถาน พร้อมทั้งจัดผังสัตตมหาสถานแต่ละอย่างตั้งอยู่ทิศใด โดยมีต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นศูนย์กลาง แต่การทั้งหมด หยุดชะงัก เพราะผ่านไป 1 ปี พระปิยมหาราชเสด็จสวรรคต (23 ต.ค. 2453)
การสานต่อพระราชปณิธานรัชกาลที่ 5 นั้น สืบเนื่องจากพระปริยัติธรรมธาดา (ทองคำ) อ่านพบพระราชปณิธาน ในวันหนึ่งจึงไปกราบเรียน พระพุทธวรญาณ (หลวงพ่อทอง) เจ้าอาวาสในขณะนั้น ว่าจะขออนุญาตสร้างสัตตมหาสถาน ตามพระราชปณิธาน พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ซึ่งก็ได้รับอนุญาต จึงจัดการย้ายอัฐินับพันที่บรรจุรายรอบกำแพงคอนกรีตต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไปบรรจุไว้ที่ศาลาร้อยปี จากนั้นได้กำหนดแผนผังที่จะสร้างและรับบริจาคจากประชาชนทั่วไป เพราะต้องใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 21 ล้านบาท เพื่อสร้างรั้วกำแพง ปรับพื้นที่ และสร้างสัตตมหาสถาน โดยใช้เวลาดำเนินการ พ.ศ. 2558-2562
ส่วนสัตตมหาสถาน คือสถานที่สำคัญ 7 แห่ง ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับเสวยวิมุติสุขตลอด 7 สัปดาห์ ภายหลังการตรัสรู้ ประกอบด้วย
1.รัตนบัลลังก์ พระแท่นวัชรอาสน์ ประดิษฐานใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ อันเป็นศูนย์กลางของโพธิมณฑล
2.อนิมิสเจดีย์ ประดิษฐานด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
3.รัตนจงกรมเจดีย์ ประดิษฐานด้านทิศเหนือ
4.รัตนฆรเจดีย์ ประดิษฐานด้านทิศตะวันออก
5.อชปาลนิโครธเจดีย์ ประดิษฐานด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
6.มุจจลินทเจดีย์ ประดิษฐานด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้
7.ราชายตนเจดีย์ ประดิษฐานด้านทิศใต้
สำหรับผู้บริจาค ติดต่อสอบถาม ร่วมอนุโมทนาบุญได้ที่ พระปริยัติธรรมธาดา ผจล.วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม คณะกรรมการที่ปรึกษากรรมการอำนวยการก่อสร้าง โครงการโพธิมณฑลพุทธานุสรณ์สัตตมหาสถาน โทร. 09-5025-1723, 08-9963-8745