ยุทธศาสตร์หลงจง-อาณาเขตใหม่ให้ทางสว่าง
ในยุคสามก๊ก มียุทธศาสตร์ทางการเมืองหนึ่งที่ขึ้นชื่อโด่งดัง
ในยุคสามก๊ก มียุทธศาสตร์ทางการเมืองหนึ่งที่ขึ้นชื่อโด่งดัง ผู้คนรู้จักยุทธศาสตร์นั้นในนามยุทธศาสตร์หลงจง(隆中对) ผู้คิดยุทธศาสตร์นี้คือ ขงเบ้ง เขาอธิบายยุทธศาสตร์นี้ตอนเล่าปี่มาพบ ณ หลงจง ชื่อ “หลงจง” จึงมาจากชื่อดินแดนที่ขงเบ้งเสนอแผนนี้แก่เล่าปี่นั่นเอง ว่ากันว่ายุทธศาสตร์หลงจงพลิกชีวิตเล่าปี่ จากขุนศึกตกอับจนมาเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามก๊ก ยุทธศาสตร์หลงจงวิเศษขนาดนั้นเชียวหรือ
ต้องเล่าก่อนว่าชีวิตเล่าปี่ก่อนได้ใช้ยุทธศาสตร์นี้ คือขุนศึกเครดิตดี แต่ตั้งตัวไม่เคยติด…
เล่าปี่เครดิตดีขนาดไหน...นอกจากตำแหน่งแม่ทัพโน่นนี่นั่นที่ได้รับพระราชทานจากราชสำนักฮั่นมากมาย เล่าปี่ยังอ้างว่า ถ้าไล่รุ่นไปดีๆ เขาเป็นถึงพระเจ้าอาของฮ่องเต้ เรื่องอ้างรุ่นพระเจ้าอาใครหลายคนบอกว่าเล่าปี่โม้ เอามาเป็นเครดิตไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นต้องอ้างคำโจโฉ-ขุนศึกที่ยิ่งใหญ่สุดแห่งยุคยังเคยยกย่องเล่าปี่ต่อหน้าว่า “วีรบุรุษในโลกหล้า มีเพียงข้า (โจโฉ) กับท่าน (เล่าปี่) เท่านั้น” เล่าปี่จึงไม่ได้มีดีจากการอ้างสายเลือดอย่างเดียวแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เล่าปี่ที่เคยเป็นพระญาติที่ถูกลืม เคยเลี้ยงชีวิตด้วยอาชีพทอเสื่อขาย ย่อมต้องเผชิญแรงเสียดทานไม่น้อย เพื่อจะขึ้นมาเป็นขุนศึกที่ยิ่งใหญ่อีกคนในแผ่นดิน
เล่าปี่ตั้งตัวไม่ติดขนาดไหน...ชีวิตเล่าปี่ต้องระเห็จไปร่วมงานกับขุนศึกคนอื่นมามากมาย ทั้งกองซุนจ้าน โตเกี๋ยม ลิโป้ โจโฉ อ้วนเสี้ยว เล่าเปียว แม้เล่าปี่จะขึ้นสเตตัสไว้ว่า “เป็นเจ้านายตัวเอง” ตลอดเวลา แต่มักต้องอยู่ใต้ร่มเงาหรือร่วมหุ้นกับผู้อื่น ไม่เคยประสบความสำเร็จใดเป็นชิ้นเป็นอัน
คงเปรียบเป็น Startup ที่ประสบความสำเร็จในการชักชวนคนมาร่วมทุน แต่ไม่เคยทำกำไรจากผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้จริง
ไหนๆ ก็เปรียบเล่าปี่เป็น Startup แล้ว แล้วคู่แข่งเล่าปี่คนอื่นอยู่ในสถานการณ์ใด
สำหรับขุนศึกรายใหญ่อย่างโจโฉ แม้เริ่มจาก Startup เหมือนกัน แต่สามารถขยายกิจการ Disrupt ขุนศึกน้อยใหญ่ โจโฉปราบความวุ่นวาย ครองเมืองหลวง คุมฮ่องเต้ไว้ และรวมแผ่นดินทางเหนือเป็นปึกแผ่น มีอำนาจและอนาคตมั่นคงที่สุดในยุคปั่นป่วน
ส่วนทางตะวันออกเฉียงใต้มีซุนกวนที่ตั้งตัวได้มั่นคง แม้จะเป็นผลงานของพ่อและพี่ ซึ่งเป็น Startup หน้าใหม่เช่นกัน แต่เพราะชะตาของพ่อและพี่ขาดเร็วไปนิด กิจการจึงตกอยู่ในมือซุนกวน ซึ่งก็สานต่อได้ไม่เลว
ทั้งโจโฉและซุนกวนเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ไฟแรง ส่วนอื่นที่เหลือบ้างเป็นขุนศึก ซึ่งสานต่อกิจการมาตั้งแต่ก่อนยุคฮั่นปั่นป่วน บ้างไฟมอดเพราะไร้วิสัยทัศน์และไร้อุดมการณ์ บ้างไฟดับเพราะห่างความขัดแย้ง ไกลสนามรบ ซึ่งอยู่ ณ ใจกลางอาณาจักร
ถ้าเอาความสำเร็จของเล่าปี่ก่อนรับยุทธศาสตร์หลงจงไปเทียบกับโจโฉและซุนกวน คงเรียกได้ว่าไม่ติดฝุ่น แล้วยุทธศาสตร์หลงจงที่พลิกให้เล่าปี่ประสบความสำเร็จมีใจความอย่างไร?
สรุปง่ายๆ 4 ข้อ คือ
1.อย่าเพิ่งลุยกับโจโฉและซุนกวน กิจการของทั้งสองกำลังรุ่งเรือง คิดล้มสองก๊กนี้เป็นเรื่องเปลืองแรง
2.เอาเมืองเกงจิ๋วให้ได้ก่อน เกงจิ๋วชัยภูมิดี อยู่ตรงกลางด้านใต้ของอาณาจักร ได้เกงจิ๋วก็เปิดศึกกับโจโฉและซุนกวนในภายหลังได้สะดวก
3.ได้เกงจิ๋วแล้วขยายไปพื้นที่ไปตั้งหลักที่เสฉวน-ชายขอบทางตะวันตก เท่านี้บ้านเมืองก็จะเกิดเป็นสถานการณ์สามก๊กค้ำยันกัน
4.รอเมืองหลวงเกิดปัญหาภายในเมื่อไหร่ ด้านหนึ่งให้นำทัพจากเกงจิ๋ว อีกด้านให้เล่าปี่นำทัพจากเสฉวน ทั้งคู่มุ่งไปสู่ใจกลางอาณาจักร สองทัพเข้าตีขนาบพร้อมกัน ภารกิจของเล่าปี่ก็จะสำเร็จได้ด้วยดี
พัฒนาการของประวัติศาสตร์สามก๊กก็เป็นไปตามยุทธศาสตร์นี้ถึง 3 ข้อลบ 1...
เล่าปี่เลี่ยงโจโฉและซุนกวน เข้ายึดเกงจิ๋ว ครองเสฉวน ตามแผนข้อ 1 ถึง 3 แต่เพราะภายหลังเสียเมืองเกงจิ๋วไป (ลบ 1 ข้อทิ้ง) ช่องทางที่จะตีขนาบจากทางใต้จึงพลอยหายไปด้วย ความพยายามบุกโจมตีก๊กโจโฉหลายต่อหลายครั้งด้วยเส้นทางจากเสฉวนของขงเบ้งจึงไม่เคยประสบผล ซึ่งก็สมกับที่ขงเบ้งคาดการณ์เอาไว้เองว่า จะมีชัยได้ก็ต้องยกทัพตีขนาบจากสองทาง
เวลาล่วงเลยไปกว่า 1,800 ปี หลายคนย้อนดูยุทธศาสตร์หลงจงแล้วอาจคิดว่ามันไม่ได้ล้ำลึกเท่าไร ก็ตอนนั้นโจโฉและซุนกวนเข้มแข็ง เล่าปี่อ่อนแอ จะมีทางเลือกอะไรได้ นอกจากหนีไปเล่นและยึดในสนามที่สองคนนี้ยังแผ่อิทธิพลไปไม่ถึง
ให้เรากางแผนที่ออกมาดู ก็แนะนำยุทธศาสตร์แบบหลงจงได้เหมือนกัน...
แต่สถานการณ์จริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น เล่าปี่ซึ่งตอนนั้นอายุ 46 ไม่ว่ายุคนั้นหรือยุคนี้อาจเรียกว่าน่าท้อใจหากยังตั้งตัวไม่ได้ (จุดนี้เล่าปี่ก็รู้ดี)
ตั้งแต่เกิด ตั้งตัว สร้างชื่อเสียง สร้างผลงาน เล่าปี่ล้วนแต่เลือกเคลื่อนไหวอยู่ในตอนกลางของอาณาจักร ซึ่งทั้งหมดล้วนเข้าใจได้ เพราะตอนกลางของอาณาจักรเป็นทั้งจุดเกิดวิกฤต เป็นทั้งที่ประทับของฮ่องเต้ที่เล่าปี่ประกาศว่าจะช่วย และเป็นที่มั่นของโจโฉที่เล่าปี่ประกาศว่าจะปราบ จึงไม่แปลกเลยที่เล่าปี่เลือกวนเวียนอยู่แถบนี้ และยอมใช้ยุทธศาสตร์ร่วมมือกับคนอื่นเรื่อยไป โดยคิดว่าจะสบช่องตั้งตัวได้เข้าสักวัน
นี่ถ้าเล่าปี่ไม่โดนโจโฉยกทัพไล่มา ก็เดาเล่นๆ ได้ว่าเล่าปี่อาจจะไม่อยากข้ามแม่น้ำลงมาขออาศัยอยู่กับเล่าเปียวทางใต้จนมาเจอขงเบ้งด้วยซ้ำไป จนเมื่อได้ฟังยุทธศาสตร์หลงจงของขงเบ้ง เล่าปี่จึงรู้ว่าเส้นทางความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นตรงไปสู่เป้าหมาย แถมอาณาเขตเดินหมากยังกว้างไกลกว่านั้นได้ ซึ่งอาณาเขตที่เพิ่มขึ้นมา ก็คือดินแดนเสฉวนทางตะวันตกที่ห่างไกลนั่นเอง
ดินแดนเสฉวนที่ทุกคนมองข้าม เพราะไปลำบาก และห่างไกลสนามรบหลัก กลายเป็นดินแดนที่ขงเบ้งแนะนำให้เล่าปี่ไปตั้งตัว เพื่อรอวันกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง เล่าปี่อาจไม่ได้สมหวังตามแผนยุทธศาสตร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยยุทธศาสตร์นี้ก็พลิกผันชีวิตเล่าปี่ และยังพอจินตนาการได้ว่า ถ้าทุกขั้นเป็นไปตามแผน เล่าปี่ก็มีโอกาสจะประสบความสำเร็จจริง...
เรื่องอาณาเขตที่เรารับรู้ว่าสามารถเอามาเดินหมากได้เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับยุทธศาสตร์หลงจงนั้น ดินแดนเสฉวนมาในรูปแบบอาณาเขตที่ปรากฏบนแผนที่...
แต่ใครจะรู้บ้างว่าในยุคนี้ การต่อสู้เพื่อชิงความเป็นหนึ่งมีมิติของอาณาเขตที่เปลี่ยนไป อาณาเขตที่เราเคลื่อนไหวได้ กลายเป็นสิ่งนามธรรม ซึ่งหมายถึงขอบเขตที่ศักยภาพของเราหรือองค์กรโลดแล่นและเอื้อมไปถึง
อาณาเขตจึงอาจจะเป็นรถบ้านที่เอามาใช้เป็นแท็กซี่ เป็นคอนโดที่เอามาใช้แทนโรงแรม ซึ่งสุดท้ายแล้วกลับทำให้กิจการในใจกลางอาณาจักรดั้งเดิม (แท็กซี่และโรงแรม) ต้องกลับมาพึ่งพาธุรกิจที่หันออกไปเดินหมากการแข่งขัน ณ อาณาเขตใหม่นอกกรอบ
หลายครั้งเราอาจจะติดกับอาณาเขตในจินตนาการ เรามักคิดว่าจะสู้สุดตัวด้วยอุดมการณ์เต็มร้อยในดินแดนนั้นๆ แต่หารู้ไม่ว่าหากเราได้เห็นแผนที่ที่กว้างขึ้น ทำความเข้าใจอาณาเขตข้างเคียง ซึ่งแม้ไม่ได้ตรงดิ่งไปสู่เป้าหมาย ก็อาจกลายเป็นที่ตั้งตัวได้ โดยไม่ต้องบ้าพลัง เข้าไปลุยทะลวงฟันในทะเลเลือดเสมอไป
ทั้งขยัน ทั้งมีเป้าหมาย แต่ก็ยังไม่ถึงเส้นชัย อาจเป็นเพราะยังไม่มีใครมาชี้ให้เห็นอาณาเขตทางเลือกที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มิติที่ยุทธศาสตร์หลงจงให้แก่เล่าปี่ จึงไม่ใช่แค่ชี้แผนที่ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ ซึ่ง 1,800 ปีถัดมา ในยุคที่ Google Map สะกิดได้ด้วยปลายนิ้ว พื้นที่เสฉวนที่ต้องมองให้ออกก็อยู่นอกกรอบแผนที่ไปเสียแล้ว