นักเศรษฐศาสตร์เผย "10ธุรกิจ" ส่อเลิกจ้างพนักงานในปี62
นักเศรษฐศาสตร์เผย 10 ธุรกิจมีอัตราการเติบโตต่ำจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค เสี่ยงเกิดการเลิกจ้างพนักงานในปี2562
นักเศรษฐศาสตร์เผย 10 ธุรกิจมีอัตราการเติบโตต่ำจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค เสี่ยงเกิดการเลิกจ้างพนักงานในปี2562
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ในปี2562 จะมีธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตต่ำมาก มีความเสี่ยงสูง และจะมีการเลิกจ้างพนักงานเพิ่มเติมจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ได้แก่
- ธุรกิจอุตสาหกรรมทีวี ทีวีดิจิทัล เคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์และสำนักพิมพ์ต่างๆ
- ธุรกิจผลิตและจำหน่ายหรือการให้เช่า CD DVD
- ธุรกิจอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง และปาล์มน้ำมัน
- สถานศึกษาเอกชน
- ธุรกิจร้านค้าแบบดั้งเดิม
- ธุรกิจให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน และธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ต
- ธุรกิจหัตถกรรม และเฟอร์นิเจอร์ไม้
- อุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องหนัง
- เครือข่ายสาขาสถาบันการเงิน
- เครือข่ายห้างสรรพสินค้า
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ เพิ่มอัตราชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างและเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ใช้แรงงาน ช่วยบรรเทาปัญหาทางเศรษฐกิจของผู้ถูกเลิกจ้างได้ระดับหนึ่ง ขณะที่กรณีย้ายสถานประกอบการไปที่อื่น หากลูกจ้างไม่ประสงค์ย้ายตามไป ก็สามารถบอกเลิกสัญญาจ้างและได้สิทธิชดเชยตามอัตราใหม่ เช่น ลูกจ้างทำงานครบ 20 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินชดเชย 400 วัน
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทยว่า แม้แนวโน้มเงินเฟ้อไตรมาสแรกปีหน้าจะปรับตัวสูงขึ้น อันเป็นผลจากการปรับเพิ่มค่าโดยสารสาธารณะ ราคาพลังงาน และกิจกรรมการเลือกตั้ง แต่เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้มีแรงกดดันหรือปัญหาทางด้านเสถียรภาพ จึงยังคงยืนยันความเห็นว่าเร็วเกินไปที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) รอบนี้ (19 ธ.ค.) การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เศรษฐกิจในระดับฐานรากชะลอตัวลงอีก เงินบาทแข็งค่ากระทบต่อภาคส่งออก
ส่วนกรณีหนี้เฉลี่ยครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์จากการสำรวจของหอการค้าไทย โดยมูลค่าหนี้อยู่ที่ 3.16 แสนบาทต่อครัวเรือนนั้น จะมีความอ่อนไหวในเรื่องความสามารถในการผ่อนชำระมากยิ่งขึ้นจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น หากดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น การก่อหนี้เพื่อซื้อสินทรัพยถาวร (บ้าน รถยนต์) จะชะลอตัวลง การลงทุนเพื่อประกอบกิจการก็อาจชะลอตัวลงด้วยจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น
"ยอดหนี้ครัวเรือนโดยรวมอยู่ที่มากกว่า 12 ล้านล้านบาท อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจการเงินในอนาคตได้ การทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น เพื่อลดการก่อหนี้เพื่อนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะเป็นแก้ปัญหาความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้มีประสิทธิภาพมากกว่าการดำเนินนโยบายเข้มงวดทางการเงิน" นายอนุสรณ์กล่าว
สำหรับประชาชนในระดับฐานรากนั้น ผู้ใช้แรงงานควรได้รับการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มเติม นอกจากนี้ ควรมีมาตรการพยุงราคาสินค้าเกษตรเพิ่มเติม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงนี้เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต และป้องกันปัญหาฟองสบู่ น่าจะเป็นการส่งสัญญาณที่เร็วเกินไป และอาจซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ แม้นหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะลดลงมาเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 77% จากระดับ 80% เมื่อ 3-4 ปีก่อน
ภาพ เอเอฟพี