ปัญหาสำคัญที่ต้องใส่ใจกันนานแล้ว Recognizing Urban Air Pollution
ขณะนี้ปัญหามลภาวะทางอากาศกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลต่อสุขภาวะของคนเมือง
โดย รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต ภาพ : RISC
ขณะนี้ปัญหามลภาวะทางอากาศกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลต่อสุขภาวะของคนเมือง โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จัดได้ว่าเป็น Urban Air Pollution หรือมลพิษทางอากาศ ที่มีหลายสาเหตุจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ เช่น การใช้ยานพาหนะ การเผาขยะ ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือการก่อสร้าง ซึ่งก่อให้เกิดฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง
ในกระบวนการก่อสร้างที่จะเกิดฝุ่นละอองทั้งจากดินและวัสดุก่อสร้าง เราสามารถลดมลภาวะและฝุ่นละอองได้ด้วยการฉีดน้ำป้องกันฝุ่น เพื่อลดฝุ่นละอองในพื้นที่ก่อสร้างและเพิ่มความชื้นในอากาศเพื่อดักจับฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งในอากาศให้มีปริมาณลดน้อยลง รวมทั้งล้างเศษดินที่ติดล้อรถ เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองเข้าพื้นที่ก่อสร้าง
อีกทั้งการดำเนินงานในพื้นที่ก่อสร้างของโครงการต่างๆ ควรให้มีความสอดคล้องกับเกณฑ์บังคับของอาคารเขียว เช่น Leadership In Energy & Environmental Design (LEED) ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่พัฒนาขึ้นโดย United States Green BuildingCouncil หรือ USGBC โดยการรวมตัวกันของผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการก่อสร้างและออกแบบอาคารเพื่อพัฒนาให้เกิดอาคารเขียวขึ้นตั้งแต่ปี 1993 โดยทุกโครงการต้องทำแผน ESC–ErosionAnd Sedimentation Control Plan
หนึ่งในแผนดังกล่าวคือการลดฝุ่นละออง หรือ Minimizing Dust ที่ได้ระบุไว้ว่า “Every project will require different strategies to achieve the above stated actions.” ดังนั้นการฉีดน้ำป้องกันฝุ่นและล้างเศษดินที่ติดล้อรถเพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองที่หน้างานก่อสร้าง ถือเป็นพันธกิจสำคัญในการจัดการเรื่อง Minimizing Dust ตามหลักเกณฑ์ระดับสากล
ในส่วนที่สองนั้นก็คือการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการใช้ยานพาหนะ โครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ สามารถดำเนินการลดมลภาวะได้ตั้งแต่เริ่มออกแบบโครงการ โดยเน้นที่การลดพื้นที่ถนนและที่จอดยานพาหนะบนดิน เพื่อลดพื้นที่สัญจรและการจอดของยานพาหนะ ซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศตลอดเวลา
อีกทั้งยังสามารถออกแบบให้ที่จอดรถอยู่ใต้ดินรวมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวบนผืนดินให้มากขึ้น โดยออกแบบสวนหรือแนวต้นไม้พันธุ์ไม้ที่มีคุณสมบัติในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือมลพิษทางอากาศในสภาพแวดล้อมโดยรอบมาปลูกได้ เช่น สัตบรรณ เวอร์บีนา เดหลี หรือไอวี่
เป็นต้น ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหนทางในการลดมลภาวะทางอากาศได้เป็นอย่างดีด้วย
ในส่วนของอากาศภายในอาคารบ้านเรือน เราสามารถใช้ระบบการเติมอากาศแบบแลกเปลี่ยนความร้อน (EnergyRecovery Ventilator, ERV) ซึ่งจะแลกเปลี่ยนโดยนำอากาศใหม่จากภายนอก พร้อมๆ กับดูดอากาศภายในออกไป โดยระบบจะทำการแลกเปลี่ยนอุณหภูมิกัน ทำให้ลดความสิ้นเปลืองพลังงานของเครื่องปรับอากาศได้ดีกว่าการนำอากาศใหม่เข้ามาโดยตรงจากการเปิดหน้าต่าง และยังเป็นการลดความชื้นภายในห้องและลดการเกิดเชื้อราได้อีกด้วย
โดยเฉพาะในห้องนอน ห้องนอนที่ดีควรมีการเติมอากาศดีจากภายนอกเข้าสู่ภายในห้องพัก ด้วยระบบการเติมอากาศแบบแลกเปลี่ยนความร้อนนี้ ซึ่งจะช่วยนำอากาศใหม่จากภายนอก (ที่มีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า) มาเติมในห้องโดยไม่สิ้นเปลืองพลังงานของแอร์ และช่วยลดการสะสม CO2 ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย แม้นอนหลับตลอดคืน
รวมทั้งเรายังสามารถใช้หน้าต่างที่ช่วยให้มีการระบายอากาศอย่างต่อเนื่อง เป็นหน้าต่างแบบ Enhanced VentilatedWindows ที่ออกแบบเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ แม้มีพื้นที่หน้าต่างน้อยมาก โดยเฉพาะอาคารคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก
อันที่จริงปัญหามลภาวะทางอากาศ เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนควรตระหนักนานแล้ว ไม่ต้องรอให้พบปัญหาอย่างในช่วงกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมานี้ เราหายใจเพื่อการดำรงชีวิต แต่กลับมองข้ามคุณภาพอากาศที่ดีต่อสุขภาพของเรา
ผมมองว่าปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5ที่เราประสบตั้งแต่ต้นปี 2562 นี้ เป็นสัญญาณกระตุ้นให้ทราบว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษทางอากาศเป็นภัยใกล้ตัวและมีความสำคัญระดับต้นๆ และหวังว่ามลภาวะทางอากาศที่น่ากังวลนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายทั้งในด้านคมนาคมการก่อสร้าง และการกำจัดขยะ เพื่อลดมลภาวะในอากาศอย่างยั่งยืน