รัชทายาท ไร้บัลลังก์
พระราชวัง “ชาง-คยอง”
โดย เพียงออ วิไลย piangor@hotmail.com
พระราชวัง “ชาง-คยอง” เป็นสถานที่ซึ่งกษัตริย์แห่งโชซอนหลายพระองค์ประสูติ และหลายพระองค์ก็สวรรคตภายในเขตพระราชฐานแห่งนี้ ที่ใดมีคนอยู่อาศัยมาก ก็มีเรื่องราวมากตามไปด้วย ในรั้วพระราชวังชาง-คยองก็เช่นกัน หลายร้อยปีที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเรื่องราวของความสุข ความรัก และความหวัง ทว่า ในทางกลับกันก็ยังมีเรื่องราวของความโลภ ริษยา การหักหลัง รวมทั้งความตายที่ผิดธรรมชาติอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ภายใต้กำแพงนี้ด้วย...นอกจากเรื่องของพระสนมเอกฮีบิน (จางอ๊กจอง) ที่พบจุดจบด้วยยาพิษพระราชทานจนสิ้นใจตายคาลานหน้าตำหนักเพราะความริษยาแล้ว (อ่านสัปดาห์ที่แล้ว) ยังมีเรื่องขององค์รัชทายาท “ซาโด” ที่สร้างความน่าหวาดหวั่น ในเพลาดึกยามนี้ ที่พวกเราอยู่ดีไม่ว่าดี กลับมาท้าพิสูจน์ในพระราชวังภายใต้แสงจันทร์กับเขาด้วย...
หากไม่รู้เรื่องมาก่อนก็คงไม่คิดอะไร แต่เพราะรู้มากจึงหวั่นไหวขนลุกวูบวาบเมื่อเดินผ่านพระตำหนักต่างๆ ที่เรียงรายอยู่ ว่ากันว่า หลายร้อยปีก่อน “องค์รัชทายาท พระนามว่า ซาโด” มีอาการป่วยทางจิตถึงขั้นรุนแรง อาการกำเริบเมื่อใดก็จะถือดาบวิ่งไล่เข่นฆ่านางกำนัลและขันทีเป็นว่าเล่นจนเลือดนองพระราชวัง บางครั้งไม่ได้ฆ่าอย่างเดียวแต่บั่นศีรษะขันทีแล้วหิ้วเดินไปมาบังคับให้คนดูอีกด้วย...น่าสยดสยองจริงๆ หวังว่าคืนนี้คงจะไม่ได้เห็นหัวใครถูกหิ้วมานะ!
“องค์รัชทายาทซาโด” นั้น เป็นพระราชโอรสของ “พระเจ้ายองโจ” ซึ่งประสูติเมื่อปี 1735 ในตำหนักเล็กๆ หลังหนึ่งในพระราชวังชาง-คยอง ชื่อว่า “จิ๊บบ๊กฮอน-집복헌” ซึ่งเป็นที่พำนักของพระมารดา คือ “พระสนมยองบิน” จากครอบครัวสามัญชนตระกูลอี... ในเวลานั้น องค์ชายรัชทายาทองค์ก่อนหน้า ชื่อว่า “เจ้าชาย ฮโย-จาง” ได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนแล้วถึง 7 ปี แต่ไม่ได้มีพระราชโอรสมาประสูติเลย จึงทำให้แผ่นดินว่างเว้นรัชทายาทมานาน
ดังนั้น เมื่อ “พระสนมยองบิน” มอบพระโอรสให้แก่ราชวงศ์จึงเป็นเรื่องมงคลของราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ เมื่อประสูติได้เพียง 100 วันพระเจ้ายองโจจึงมีพระบัญชาให้ “องค์ชายน้อยอีซอน” เข้าไปประทับในพระราชวังหลวงโดยมีข้าหลวงนางกำนัลเป็นผู้ถวายการอภิบาลแทน และตามกฎมณเฑียรบาลต้องยกให้เป็นพระโอรสของ “มเหสีเอกจองซอง” ...เมื่ออายุได้ 2 ขวบก็ได้รับการสถาปนาเป็น “องค์ชายรัชทายาทซาโด” นับเป็นรัชทายาทที่ได้รับการแต่งตั้งขณะที่มีอายุน้อยที่สุดของราชวงศ์
ด้วยเหตุนี้ “องค์ชายรัชทายาทซาโด” จึงเติบโตขึ้นท่ามกลางการเมืองภายในราชวงศ์ ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพระมารดาตัวจริงซึ่งถูกกันออกไปไม่สามารถเข้ามาดูแลได้ อีกทั้งพระมารดานั้นไม่ได้มาจากตระกูลขุนนาง แต่เป็นสามัญชน เหล่านางข้าหลวงและกำนัลจึงไม่ให้ความเคารพ ในวัยเด็กพระองค์จึงมีความสับสน และมีพฤติกรรมที่ซับซ้อนมาก
ก่อนที่องค์รัชทายาทจะเติบโตเป็นหนุ่ม ตามธรรมเนียมของราชวงศ์ ต้องมีการคัดเลือกพระชายาให้ ดังนั้น เมื่อองค์ชายเจริญพระชนมายุได้ 11 ปี พระราชวังจึงประกาศให้ครอบครัวที่มีลูกสาวที่มีคุณสมบัติเหมาะสมส่งชื่อเข้าไปแข่งขัน การคัดเลือกทำกันหลายรอบ จนเหลือผู้ได้รับตำแหน่งพระชายาเพียงคนเดียวเท่านั้น ในการคัดเลือกรอบแรก มีเด็กหญิง 3 คนสอบผ่าน แต่คนที่ถูกตาถูกใจกรรมการ ได้แก่ ราชินี พระพันปี และพระเจ้ายองโจ มากที่สุด เป็นเด็กหญิงวัย 9 ขวบชื่อว่า “ฮง ฮเย-กยอง”
“ท่านหญิงน้อย ฮเย-กยอง” เป็นลูกคนที่สามของครอบครัวขุนนางชั้นผู้น้อย เมื่อประกาศมาถึงบ้าน มารดาของเธอไม่เต็มใจให้ลูกสาว 9 ขวบไปคัดเลือกตัว “ฮเย-กยอง” เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะผ่านคุณสมบัติด้วยซ้ำเพราะอายุยังน้อยมาก แต่ฝ่ายบิดายืนยันจึงต้องไปคัดเลือก ในเวลานั้นฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวย มารดาท่านจึงเลาะผ้าออกมาจากชุดเก่า แล้วเอามาประกอบตัดเย็บเสื้อผ้าให้ใหม่เพื่อไปดูตัว ในที่สุด พิธีสมรสพระราชทานจัดขึ้นอย่างใหญ่โตถึง 7 วัน “ท่านหญิงน้อย ฮเย-กยอง” ได้เป็น “พระชายา” ตอนอายุ 9 ขวบ อย่างไรก็ตามกว่าจะเป็นสามีภรรยาจริงได้ต่างฝ่ายต้องรอให้เติบโตเสียก่อน ดังนั้น จึงต่างฝ่ายต่างอยู่ในที่ของตน จน 5 ปีให้หลังจึงมีพิธีส่งตัว
ในสมัยนั้น ลูกหลานฝ่ายสตรีของชนชั้นยางบาน (ขุนนาง) ได้ศึกษาเล่าเรียนบ้างแล้วและใช้ตัวอักษร “ฮันกึล” ในการอ่านเขียนแทนตัวจีน ดังนั้น พระชายา “ฮเย-กยอง” จึงมีพื้นฐานการศึกษาดี หลังจากได้เป็นพระชายาแล้วก็ได้ศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมจึงมีโอกาสดีกว่าสตรีในยุคนั้น และท่านก็ได้ทำในสิ่งที่สตรีในวังไม่กล้าทำ นั่นคือ การเขียนบันทึกความทรงจำของตนเอง กล่าวถึงชีวิตในรั้ว “พระราชวังชาง-คยอง” ลงบนกระดาษอย่างลับๆ เพราะเรื่องราวในราชวงศ์มิอาจเปิดเผยได้ บันทึกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ตามปีที่เขียน คือ ค.ศ. 1795, 1801, 1802 และ 1805
เมื่อถึงเวลาอันควรบันทึกลับก็ได้ปรากฏออกมา...“ฮันจุงโนก” (한중록 : TheMemoirs of Lady Hyegyeong) จึงเป็นอัตชีวประวัติฉบับสำคัญที่ทำให้เรารู้ว่า “องค์ชายรัชทายาทซาโด” มีอาการจิตเภท และเริ่มแสดงออกมาตั้งแต่อายุ 12 ชันษาแล้ว...แต่ในเวลานั้น ไม่มียาใดรักษาได้ หากเป็นสมัยนี้องค์ชายคงแค่ต้องไปโรงพยาบาลโรคจิต ไม่ต้องถูกพระอาญาโทษให้สิ้นพระชนม์อย่างทรมานและหลอนใจคนที่เกี่ยวข้องอีกนับไม่ถ้วน...
(อ่านต่อฉบับหน้า)
อนึ่ง ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี กรุงเทพฯ ขอเชิญท่านที่สนใจเข้าร่วมงานเทศกาล“ซอลลาน” ซึ่งถือเป็นวันตรุษปีใหม่เกาหลีในวันที่ 5 ก.พ.ศกนี้ ตั้งแต่เวลา 16.30 น.เป็นต้นไป ภายในงานได้ยกศิลปะ วัฒนธรรม และ อาหารเกาหลีรสเลิศโดยตรงจากเกาหลีมาให้ชาวไทยได้สัมผัสและลิ้มลอง เช่น พิธีอวยพรปีใหม่ การใส่ชุดฮันบกที่สวยงาม การทำอาหารจานพิเศษ ได้แก่ ต๊อก และการละเล่นต่างๆ ที่ทุกๆ ท่านสามารถร่วมทำร่วมเล่นได้ ลงทะเบียนที่ 02-651-0165