ประภาภัทร นิยม 'รุ่งอรุณ'แห่งโรงเรียนทางเลือก
ทลายกำแพงการศึกษารูปแบบเดิมลงอย่างสิ้นเชิง สำหรับ “โรงเรียนทางเลือกใหม่”
ทลายกำแพงการศึกษารูปแบบเดิมลงอย่างสิ้นเชิง สำหรับ “โรงเรียนทางเลือกใหม่” อย่างโรงเรียนรุ่งอรุณ ย่านบางมด กรุงเทพฯ ต้นแบบของการเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม (Holistic Education) ที่ประกอบด้วย Head-Hand-Heart ที่ไม่ยึดโยงอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม แต่เลือกอยู่เหนือกรอบบนความเข้าใจ ด้วยสไตล์การสอนแตกต่างกับโรงเรียนทั่วไปที่ไม่เน้นเพียงการท่องจำความรู้
ที่สำคัญ คือ เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนใช้ความรู้ทันที คือกล้าแสดงพลังความคิดสู่สาธารณะอย่างมั่นใจ จึงไม่แปลกที่ผู้ปกครองนับพันครอบครัวต่างวางใจส่งลูกหลานเข้าสู่โรงเรียนแห่งนี้ บนความเชื่อว่าโรงเรียนจะช่วยบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์วัยเยาว์เหล่านี้ ท่ามกลางสวนป่าธรรมชาติเนื้อที่กว่า 50 ไร่ ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
ประภาภัทร นิยม อธิการบดีสถาบันอาศรมศิลป์และผู้ก่อตั้งโรงเรียนรุ่งอรุณ ฝ่ากำแพงการศึกษาแบบเดิมๆ พร้อมจุดไฟแห่งความหวัง สร้างภาพจดจำใหม่ๆ ต่อการเรียนการศึกษายุคปัจจุบันที่ทันสมัยสู่การเป็น “โรงเรียนทางเลือก” ให้กับผู้ปกครอง พัฒนาโรงเรียนที่เหมือนบ้านหลังที่สอง ค่อยส่องแสงนำชีวิตเด็กนักเรียนสู่การเรียนแห่งปัญญา ยึดพื้นฐานการเข้าถึงคุณค่า และความสุขในตัวตนที่แท้จริงของนักเรียนทุกคน
ที่สำคัญ ประภาภัทรยังเป็นเจ้าของรางวัล “การส่งเสริมการศึกษาเพื่อสันติภาพ ประจำปี 2561” จากมูลนิธิการศึกษาเพื่อสันติภาพ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) รางวัลนี้เป็นรางวัลเพื่อส่งเสริม สนับสนุน และสืบสานแนวคิดของพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ในการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม อันจะนำไปสู่สันติสุขและสันติภาพอันยั่งยืน
ประภาภัทรรู้สึกภาคภูมิใจต่อรางวัลเกียรติยศชิ้นนี้อย่างสูงสุดในชีวิต ในฐานะ “นักการศึกษาแนวใหม่” ที่โรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศต่างสนใจการเรียนรูปแบบนี้ โดยเฉพาะบรรดาครูอาจารย์ทั้งหลายต่างมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ดูกระบวนการศึกษาจากโรงเรียนรุ่งอรุณ จนทุกคนให้การยอมรับไปในทิศทางเดียวกัน
สารพัดข้อสงสัย หลายคนถามว่าโรงเรียนทางเลือกจำเป็นไหม? ประภาภัทรให้ความเห็นว่าโรงเรียนทางเลือกจำเป็นต้องเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว หรือเพราะเราคุ้นชินกับการศึกษาที่มีอยู่ เรียกว่าอยู่ ใน Comfort Zone เลยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลง ในประเทศไทยมีตัวอย่างโรงเรียนเหล่านี้อยู่หลายแห่ง และสามารถทำได้จริง แล้วทำไมโรงเรียนอื่นๆ จะเปลี่ยนไม่ได้?
ความจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้ที่ดี มีคุณภาพ สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ การจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน ควรเปลี่ยนให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตั้งคำถามเป็น เป็นเจ้าของโจทย์ อยากคิดโจทย์นั้น แก้ปัญหาโจทย์นี้ด้วยตัวเด็กเอง ตรงนี้ควรเปลี่ยนมาตั้งนานแล้ว
ผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัดจากโรงเรียนรุ่งอรุณ เด็กนักเรียนทุกคนมีความสามารถใคร่ครวญเรียนรู้ด้วยตัวเองว่า สิ่งใดเหมาะสมกับเรื่องราวต่างๆ การวางแผน การจัดการ เด็กทำเองหมด เพราะโรงเรียนเปิดโอกาสให้เด็กเหล่านี้ทำศักยภาพในตัวเด็กจึง “เบิกบานเติบโตตามวัยเด็ก” อย่างเช่นงานโรงเรียนมีชื่อว่า “งานหยดน้ำ” ของโรงเรียนรุ่งอรุณจะเป็นการประมวลผลงานว่าเด็กเรียนอะไรมาบ้าง ในช่วงปลายเทอมนักเรียนจะเชิญผู้ปกครองมาดู เด็กอนุบาลร่วมนั่งวางแผนกันว่าจะเชิญผู้ปกครองให้มาอย่างไร ใช้วิธีไหน เชิญมาทำอะไร โดยให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมและรับรู้สิ่งที่เด็กได้เรียนไป
“แค่ระดับอนุบาลยังสามารถจัดกระบวนการขั้นตอนต่างๆ ได้ ที่สำคัญเด็กทุกคนอยู่กับความจริงตรงหน้า เด็กไม่ได้ถูกล็อกให้นั่งฟังสิ่งที่ไม่มีความหมายต่อเขา และยังไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร แต่ว่าเด็กอยู่กับความจริงตรงหน้า เด็กต้องใช้ความรู้ ต้องลงมือทำ ตรงนี้เห็นชัดเจนว่าทุกคนพัฒนาไปตามวัยและศักยภาพของตนเองได้” ประภาภัทร ระบุ
ประภาภัทร กล่าวว่า อุปนิสัยนักเรียนรุ่งอรุณถูกฝึกให้เป็นคนมี “จิตใหญ่” คือรับรู้เรื่องของสังคม สำคัญกว่าเรื่องของตัวเอง เช่น นักเรียนระดับมัธยม 2 เรียนเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของภาคกลาง ทุกคนรู้ว่าพื้นที่ราบลุ่มเหล่านี้เหมาะทำนาปลูกข้าวมาแต่เดิม ก่อนถูกรุกคืบจากอุตสาหกรรม เด็กจะตั้งคำถาม แล้วหาคำตอบในโจทย์ปัญหานั้น ลักษณะเช่นนี้เป็นโจทย์ที่ใหญ่กว่าตัวเด็ก ที่มันไม่ใช่เพียงการเรียนในตำราแต่มันต้องใช้ความรู้จำนวนมากหาคำตอบ
โรงเรียนไม่ได้ทำอะไรมาก เพียงแต่เปิดพื้นที่การเรียนรู้ให้เด็ก ครูมีบทบาทพาไปดูโจทย์สถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นจริง ตั้งคำถามถึงคุณค่าแท้และใช้การสอนแบบ Active Learning ที่ให้
ผู้เรียนเป็นเจ้าของโจทย์ด้วยตัวเอง โรงเรียนรุ่งอรุณเรียนแบบนี้ไม่ได้เรียนเฉพาะในห้องเรียน มันจึงมีข้อแตกต่างกับการเรียนการสอนแบบทั่วไป
นอกจากนี้ ประภาภัทร ยังขยายองค์ความรู้การจัดการศึกษาแนวนี้ไปสู่โรงเรียนต่างๆ ที่ต้องการปรับรูปแบบการสอน เช่น โครงการต้นแบบพื้นที่นวัตกรรม การจัดการศึกษาระดับจังหวัด ระยอง ศรีสะเกษ เป็นพื้นที่นวัตกรรมการจัดการศึกษา หรือ Sandbox เพื่อทดลองการปฏิรูปการศึกษาไทย
ทั้งนี้ เป็นข้อเสนอที่ริเริ่มมาจาก ThailandEducation Partnership (TEP) หรือภาคีเพื่อการศึกษาไทย ที่ประกอบด้วยองค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่องการปฏิรูปศึกษาไทย อาทิ สถาบันอาศรมศิลป์ มูลนิธิสยามกัมมาจล สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และอื่นๆ อีกกว่า 20 องค์กร มีเป้าหมายที่จะกำหนดให้มีพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ซึ่งมีลักษณะเป็น Sandbox เพื่อปฏิรูปการศึกษาระดับจังหวัดให้เป็นพื้นที่นำร่อง ยกระดับการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพในการจัดการศึกษาลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนร่วมจัดการศึกษา มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ โดยส่งเสริมให้สถานศึกษาหรือโรงเรียนมีอิสระในการพัฒนาหลักสูตร ปรับเปลี่ยนวิธีการ จัดการเรียนรู้และการวัดและประเมินผล เพื่อยกระดับผู้เรียนโดยตรง
“การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อชีวิตของคนเรียน ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าภาพโรงเรียน ต้องเป็นตัวของตัวเอง เป็นผู้จัดการศึกษาของตัวเอง เรากำลังไปร่วมสร้างความแข็งแรงให้กับโรงเรียนต่างๆ“
ประภาภัทรเปิดใจถึงเหตุผลที่ลงมาทำพื้นที่นวัตกรรมข้างต้นว่า เพราะยังมีผู้บริหารและครูหลายโรงเรียน มีความพยายามพัฒนาเปลี่ยนแปลงโรงเรียนของตนเองอยู่เช่นกัน ดังนั้น จึงต้องปรับมุมมองวิธีคิดและเช็กเป้าหมายของผู้บริหารและครูให้อยู่ที่เด็กเป็นสำคัญ แล้วจึงช่วยพัฒนาทักษะบทบาทของเขาให้เป็นเจ้าของโจทย์ในโรงเรียนของตนเองว่า ทำอย่างไรถึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์และผลลัพธ์กับนักเรียนได้จริง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก เพียงกลับมาทบทวนว่า การให้เวลา ให้พื้นที่ ให้โอกาสเด็กเต็มที่หรือไม่ เพียงเรายกชีวิตผู้เรียนเป็นตัวตั้ง ไม่นำเรื่องการรักษาระบบมาเป็นตัวตั้ง และเน้นสมรรถนะของผู้เรียนเป็นตัวตั้ง ผู้บริหารและครูจึงจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ ทำทุกอย่างเพื่อไปบรรลุผลตามเป้าหมายดังกล่าวได้
มนุษย์มีความใฝ่ดีมากกว่าใฝ่ชั่วอยู่เป็นพื้นฐาน ดังนั้น ต้องไว้ใจมนุษย์ว่าพัฒนาได้ทุกคน ถ้าเราให้โอกาสเรียนรู้ถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ รับรองเขาจะเกิดวินัยในตนเอง คือ รู้ควร รู้กาลเทศะ ผ่านความอิสระที่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยน เคารพความเห็นบุคคลอื่น โดยไม่ต้องมีอะไรไปคุมไว้ แค่เราเชื่อมั่นเปิดใจกว้างเท่านั้น หากไม่เชื่อมั่นในมนุษย์แล้ว จะทำเรื่องการศึกษาให้สำเร็จได้อย่างไร
บนโลกใบนี้ มนุษย์เป็นสิ่งเดียวที่สามารถพัฒนาได้โดยไม่มีขีดจำกัด ฉะนั้น ต้องให้โอกาส เวลา แล้วเด็กจึงจะเรียนรู้ จะเติบโตเองเหมือนคำพระพุทธเจ้าสอนว่า “ให้ทำตัวเหมือนชาวนา ชาวนาไม่ได้ทำให้ข้าวออกรวง แต่ชาวนาทำเหตุอะไรบ้าง เตรียมดิน เตรียมกล้า ปักดำ ไขน้ำเข้า-ออก ดูวัชพืช แล้วเมื่อถึงเวลาข้าวจะออกรวงเอง”
อธิการบดีสถาบันอาศรมศิลป์ กล่าวย้ำว่าหากผู้บริหารโรงเรียนและครูทำเหตุให้ถูก ทำเหตุดีก็ได้ผลดี ถ้าทำเหตุไม่ดีในที่สุดก็ได้รับผลไม่ดี คนเรายังไงก็อยากได้ดี เพียงแต่ไม่มีใครนำทางให้ ส่วนเด็กเขาจะเป็นผู้แสดงผลตามความสามารถของเขาเอง อย่ารอหวังพึ่งอะไรที่ไม่ใช่การทำเหตุ ทั้งนี้ ต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่หมุนตลอดเวลา โรงเรียนรุ่งอรุณยังต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ไม่เคยหยุดนิ่งเช่นกัน
ในปีหน้ามีแผนเปิด English Program รับนักเรียน ตั้งแต่ระดับอนุบาล ก่อนขยายให้ครอบคลุมถึงระดับชั้นประถมศึกษา ถัดจากนั้นปี 2563 จะเริ่มเปิดการเรียนแบบ International Baccalaureate (IB) แต่ในสไตล์ของรุ่งอรุณ โดยเริ่มที่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทั้งนี้ เป็นการปรับไปตามความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะเราอยู่นิ่งไม่ได้ ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนไป ส่วนครูนั้นต้องมีการฝึกฝนทักษะใหม่ขึ้นเรื่อยๆ อยู่เสมอ
ประภาภัทร กล่าวว่า หวังเห็นการศึกษาไทยมีความทันสมัยตามยุคและรักษาคุณค่าวัฒนธรรมไทย ตอนนี้เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องการคนที่มีทักษะแตกต่างจากอดีตชัดเจนมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราต้องปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน หากเราไม่ปรับตัวจะตกยุคและใช้การไม่ได้ กลายเป็น Disruption School