ทอท.จับธุรกิจCargoตั้งศูนย์ตรวจสอบสินค้าเกษตรดันรายได้1,000ล้าน

ทอท.รุกตลาด Cargo ขยายฐานลูกค้า CLMV ดันรายได้เพิ่มแตะ 1,000 ล้าน คาดเปิดเฟสแรกต้นปีหน้า รอชงคมนาคมเคาะขนส่ง G2G เชื่อมไทย-ยุโรป

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ทอท.อยู่ระหว่างการจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อมาดูแลโครงการศูนย์ตรวจสอบสินค้าเกษตรก่อนส่งออก (Certify Hub)ภายในท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ หลังมีการหารือร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยถึงแนวทางการส่งออกสินค้าไปยังยุโรป โดยคาดว่าการจัดตั้งบริษัทลูกจะแล้วเสร็จภายใน 2 เดือนนี้ จากนั้นจะเดินหน้าทำห้องเย็น และเปิดให้บริการได้ภายใน 6 เดือนนับจากนี้ หรือช่วงประมาณ ม.ค. 2563

ปัจจุบันมีหลายประเทศให้ความสนใจที่จะมาใช้บริการโดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศ CLMV จากเดิมจะต้องไปใช้บริการที่ประเทศสิงคโปร์ โดยศูนย์ตรวจสอบสินค้าเกษตรก่อนส่งออกในเฟสแรก จะให้บริการในรูปแบบของ Premium Len ก่อน ซึ่งจะคล้ายช่องทางพิเศษ VIP ขณะที่เฟสต่อไปในอนาคตนั้น เตรียมนำเสนอรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมใหม่ เพื่อผลักดันให้วาระแห่งชาติ หรือรูปแบบ G2G เนื่องจากมองว่าไทยมีศักยภาพ ที่สำคัญยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้สามารถส่งออกสินค้าเกษตรได้

“ช่อง Premium Len ที่จะเปิดให้ใช้กับการขนส่งสินค้า เพราะมองว่าสินค้าแต่ละชนิดมีเวลาไม่เท่ากัน เช่น กุหลาบจะต้องใช้เวลาในการเก็บแช่เย็นเร็วกว่าโหระพา เพราะมีมูลค่าสูงกว่า นอกจากนี้ ศูนย์ดังกล่าว จะช่วยเกษตรกรได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ตากับยายเก็บมะม่วงมาส่งเรา เรายังช่วยกระจายไปยังตลาดต่างๆ ซึ่งจะเบ็ดเสร็จที่เราเลย”นายนิตินัย กล่าว

นายนิตินัย กล่าวว่า ส่วนศูนย์ตรวจสอบสินค้าเกษตรก่อนส่งออกนั้น จะผ่านประเทศดูไบ และต่อไปยังประเทศเบลเยี่ยม ก่อนที่จะกระจายส่งไปประเทศอื่นๆในยุโรปต่อไป และล่าสุดในช่วงเดือนส.ค.นี้ ทอท.เตรียมลงนามบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ว่าด้วยเรื่องอี-คอมเมิร์ชกับประเทศดูไบ ทั้งนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีการขนส่งสินค้า(Cargo)จำนวน 1.5 ล้านตันต่อปี หรืออยู่ที่อันดับ 15 ของโลก ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีสินค้าเน่าเสียกว่า 1.5 แสนตันต่อปี จึงเชื่อว่าศูนย์ดังกล่าวนั้น จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอนและสามารถสร้างรายได้แตะ1,000 ล้านบาทต่อปีจากเดิมทอท.มีรายได้จาก Cargoอยู่ที่ประมาณ 300-500 ล้านบาทต่อปี