วายดีเอ็ม เปิดแนวคิดการตลาดยุคใหม่ต้อง 'โมเดิร์น มาร์เก็ตติง'
ชี้ความท้าทายกระแสการตลาดดิจิทัลในปีหน้า แบรนด์สินค้าเดินคู่เทคโนโลยี รับอนาคตเม็ดเงินสื่อออนไลน์ในอีก 5 ปีข้างหน้าขยับสัดส่วนเพิ่ม 40%
ชี้ความท้าทายกระแสการตลาดดิจิทัลในปีหน้า แบรนด์สินค้าเดินคู่เทคโนโลยี รับอนาคตเม็ดเงินสื่อออนไลน์ในอีก 5 ปีข้างหน้าขยับสัดส่วนเพิ่ม 40%
นายธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าแนวคิดการรุกตลาดยุคใหม่ "Modern Marketing" จะต้องผสานระหว่างครีเอทีฟและด้านดิจิทัล เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีทำให้เกิดแพลตฟอร์มต่างๆจำนวนมากในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา โดยกระแสการตลาดดิจิทัลในปีหน้า จะยังมีความท้าทายจากแบรนด์สินค้าและเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยผู้บริโภค มีการเปลี่ยนแปลงด้านการเสพสื่ออย่างชัดเจน มีการดูโทรทัศน์น้อยลง และหันมาดูแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัล มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทำให้สามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ละเอียดมากขึ้น อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
"การทำการตลาด แบบคิด Big Idea เดียว แล้วหว่านออกไปยังกลุ่มเป้าหมาย ในทุกๆ ช่องทาง อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดอีกต่อไป โดยในยุคแห่งดาต้านั้น ทันทีที่ลูกค้ามี Interact กับแบรนด์ ก็จะสามารถแยกลูกค้าออกเป็น segment ย่อยๆ จากดาต้าเชิงพฤติกรรมที่ลูกค้าแสดงออกมา จากนั้นจึงคิด Message เพื่อที่จะสื่อสารกับลูกค้าตาม segment ย่อยๆ เหล่านั้นที่แตกต่างกันไป ในบางแคมเปญ เราอาจต้องคิด Message หลายร้อย หลายพัน Message หรือในบางกรณี อาจจะไปถึงขั้นการทำ Personalized Marketing" นายธนพล กล่าว
นอกจากนี้ การทำ Modern Marketing นั้น ยังครอบคลุมไปถึงการมองหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ จากการวิเคราะห์ดาต้า การหา Consumer Insight โดยไม่ต้องทำโฟกัสกรุ๊ป แต่หาจากคลาว์เก็บข้อมูลบนโซเชียลแทน กาทำแทรคกิ้งในเชิงพฤติกรรมเพื่อทำการตลาดแบบอัตโนมัติ ( Marketing Automation) การออกแบบCustomer Experience บนดิจิทัล การทำ Marketing Attribution เพื่อหาโมเดลในการแบ่งงบการใช้มีเดียให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีการนำ AI หรือปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย
โดยสิ่งที่จะเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนนักการตลาดในยุคต่อไป นอกจากจะเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ (Creative) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics) แล้วนักการตลาดยังจะต้องมีการปรับตัวให้เกิด Mindset ใหม่ๆ ในการทำงาน เช่น เปลี่ยนการทำงานแบบ Exposure Marketing ที่อัดเงินทำแคมเปญโฆษณา ให้กลายมาเป็น Engagement Marketing โดยแบรนด์ลุกขึ้นมาทำอะไรสิ่งที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าจริงๆ รวมทั้ง Mindset ในการทำงาน จากเดิมเน้นงานพิถีพิถันใช้เวลาในการทำงานนานมากๆ เปลี่ยนมาเป็นการทำงานแบบ startup ที่เน้นความรวดเร็วและตอบโจทย์หลักของลูกค้า
นายธนพล กล่าวว่าสำหรับแผนธุรกิจวายดีเอ็ม ไทยแลนด์ จะประกอบด้วย Drive-Connect-Grow โดยในปีนี้จะนำเรื่อง "Connect" มาใช้ทั้งภายในและภายนอกบริษัทให้มากขึ้น จากที่ผ่านมา บริษัทในเครือที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งหลากหลายแบบ 360 องศา ส่งผลให้ แต่ละบริษัทมีการแยกกันพูดในประเด็นที่แต่ละยูนิตมีความเชี่ยวชาญ
ขณะที่หลังจากปีนี้เป็นต้นไป วายดีเอ็มไทยแลนด์ จะเน้น พูดร่วมกัน ทำงานร่วมกัน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้การสื่อสารขององค์กรมีพลังมากขึ้น เช่นเดียวกันในส่วนของการ "Connect" กับหน่วยงานภายนอกบริษัทนั้น
โดยภาพชัดเจนในปีนี้ คือ วายดีเอ็มไทยแลนด์ จะมีการจับมือกับสื่อดังระดับประเทศอย่าง อสมท. โดยจะเข้าไปช่วยบริหารจัดการ ในเรื่องดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งการร่วมมือกับทางเครือกรังด์ปรีซ์ ในการพัฒนา Big Data ซึ่งได้เริ่มทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ต้นปีนี้ในงานมอเตอร์โชว์ 2019 ที่ผ่านมา
บริษัทตั้งเป้ารายได้ในสิ้นปีนี้ไว้ที่ 800 ล้านบาท และอีก 2 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าจะทำให้ได้ถึง 1,000ล้านบาท เพื่อจะนำบริษัทฯ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ (SET) อย่างเป็นทางการ พร้อมรองรับอนาคตงบการตลาดดิจิทัลในอีก 4- 5ปีข้างหน้าในไทย คาดจะปรับัดสัดส่วนเป็น 40% ใกล้เคียงกับในประเทศ สหรัฐอเมริกา จีน เป็นต้น จากปัจจุบันมีสัดส่วน 15% และในปีหน้าคาดเพิ่มขึ้นเป็น 20%