คุยกับรุ่น3 “เฮอริเทจ กรุ๊ป” ปลุกตลาดนมพร้อมดื่ม 6 หมื่นล้านคึก!!ด้วยนมอัลมอนด์
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ตลาดนมพร้อมดื่มในประเทศไทย มีการเติบโตแบบไม่หวือหวามากนัก จากจำนวนสินค้าเครื่องดื่มหลากหลายประเภทที่เข้ามาชิง “แชร์ ออฟ โธรท” ในกลุ่มผู้บริโภค
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ตลาดนมพร้อมดื่มในประเทศไทย มีการเติบโตแบบไม่หวือหวามากนัก จากจำนวนสินค้าเครื่องดื่มหลากหลายประเภทที่เข้ามาชิง “แชร์ ออฟ โธรท” ในกลุ่มผู้บริโภค
ทว่า จากการเข้ามาของนมพร้อมดื่มธัญพืช ในกลุ่ม “อัลมอนด์ มิลค์” ที่เข้ามาทำตลาดจริงจังในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมา พร้อมปลุกตลาดนมพร้อมดื่มมูลค่า 6 หมื่นล้านบาทในไทยให้มีสีสัน ซึ่งในปีนี้คาดมีอัตราเติบโตอยู่ที่ 4% (นีลเส็น)
โดยตัวนมอัลมอนด์เอง มีการเติบโตสูงสุดกว่า 30% ปัจจัยหลักมาจากผู้บริโภคชาวไทย ที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
โดยเฉพาะ จากการเข้ามาทำตลาดนมอัลมอนด์ แบรนด์ “บลูไดมอนด์ อัลมอนด์ บรีซ” (Blue Diamond Almond Breeze) ภายใต้การรับสิทธิ์ทำตลาดของเครือเฮอริเทจ กรุ๊ป ที่ครองส่วนแบ่งตลาดนมอัลมอนด์ อันดับหนึ่ง ด้วยสัดส่วนกว่า 54% (เดือนก.ค.2561-มิ.ย.2562)
ความสำเร็จในตลาดนมเซ็กเมนต์ใหม่ “วิทวัส พลไพศาล” รองประธานกรรมการ เครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตสินค้าขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม และยังเป็นผู้รับสิทธิ์การผลิตและการทำตลาดสินค้าแบรนด์ “บลูไดมอนด์” ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) ได้บอกเล่ากลยุทธ์ความสำเร็จของนมพร้อมดื่มอัลมอนด์ แบรนด์ บลูไดมอนด์ อัลมอนด์ บรีซ ในตลาดนมพร้อมดื่มในไทย ช่วงเวลานี้
วิทวัส เล่าที่มาถึงแบรนด์บลูไดมอนด์ ซึ่งบริษัทได้ไลเซนส์ทำตลาดอาเซียน ตั้งแต่ปี 2532 หรือราว 30 ปีก่อน พร้อมนำเข้าวัตถุดิบเมล็ดอัลมอนด์ เพื่อผลิตสินค้าในหมวดขนมขบเคี้ยว และได้ตั้งโรงงานผลิตสินค้าในย่านพุทธมณฑล เป็นแห่งแรก
ในปัจจุบันมีโรงงานที่ได้รับไลเซนส์แบรนด์ บลูไดมอนด์ 3 แห่งทั่วโลก คือ ไทย จีน และ สหรัฐอเมริกา
สำหรับจุดเริ่มต้น นมอัลมอนด์ แบรนด์บลูไดมอนด์ ในสหรัฐอเมริกา เกิดจากการวิจัยและพัฒนาเมล็ดถั่วอัลมอนด์ ของสหกรณ์ชาวไร่ผู้ปลูกอัลมอนด์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เพื่อผลิตสินค้านมทางเลือกให้กับผู้บริโภค ด้วยตลาดนมทั่วโลกมีอยู่ 2 ประเภท คือ นมวัว และ นมธัญพืช
ขณะที่การทำตลาดนมบลูไดมอนด์ อัลมอนด์ บรีซ ในไทยนั้น บริษัทได้มองเห็นโอกาสเช่นเดียวกัน จากในช่วงที่ผ่านมาตลาดนมพร้อมดื่มในไทยมีสองกลุ่มหลัก คือ นมวัว และ นมถั่วเหลือง ซึ่งนมกลุ่มหลังในบางยี่ห้อพบว่ามีส่วนผสมของนมผงด้วยเช่นกัน
จากช่องว่างดังกล่าว บริษัทจึงตัดสินใจผลิตและทำตลาดนมอัลมอนด์ ภายใต้แบรนด์ บลูไดมอนด์ อัลมอนด์ บรีซ ในไทย เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในกลุ่มนมพร้อมดื่ม “นมธัญพืช” ให้กับผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่บางรายมีภาวะการแพ้แลคโตสชในน้ำนมวัว
รวมถึงอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจ คือ กลุ่มวีแกน หรือ นักมังสวิรัต ที่หลีกเลี่ยงการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มาจากสัตว์
ขณะที่ตลาดนมพร้อมดื่มในไทยทั้งสองกลุ่ม มีอัตราการเติบโตควบคู่กันมาโดยตลอด โดยปัจจุบันตลาดนมพร้อมดื่มมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านบาท
ส่วนตลาดนมอัลมอนด์ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มนมทางเลือกก็ค่อยๆเข้ามามีบทบาทในตลาดมากขึ้น โดยมีจุดขาย คือ ไม่มีแลคโตส ปราศจากฮอร์โมน และ แคลอรีต่ำ
โดยบลูไดมอนด์ อัลมอนด์ บรีซ เริ่มทำตลาดอย่างจริงจังในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2560 และมีอัตราการเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง จากการเข้ามาสร้างสีสันตลาดนมพร้อมดื่มของไทย
“เป้าหมายหลักของบริษัทฯ คือ อยากให้สินค้านมอัลมอนด์ บรีซ มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อช่วยผลักดันให้ตลาดรวมนมพร้อมดื่มในไทยเติบโตไปด้วยพร้อมกัน ซี่งมองว่ายังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก หากเทียบกับประเทศเวียดนามซึ่งพบว่าตลาดนมพร้อมดื่มมีการเติบโตมากกว่าไทย ถึงหนึ่งเท่าตัว” วิทวัส เสริม
นอกเหนือจากการวางตำแหน่งสินค้านมบลูไดมอนด์ อัลมอนด์ บรีซ เพื่อเป็นทางเลือกในตลาดนมพร้อมดื่มแล้ว
อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จในการทำตลาด คือ “กลยุทธ์ราคา” โดยบริษัทสามารถกำหนดราคาสินค้าอยู่ที่ 99 บาท ขนาดบรรจุ 1 ลิตรได้ และราคา 20 บาท ปริมาณบรรจุกล่อง 180 มล.
ซึ่งมาจากจุดแข็งของบริษัทซึ่งเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตเมล็ดอัลมอนด์รายใหญ่ในสหรัฐฯ ทำให้ได้วัตถุดิบคุณภาพสูง เพื่อนำมาผลิตสินค้าได้ในราคาต้นทุนไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับสินค้าแบรนด์อื่นในตลาดเดียวกัน
“กลยุทธ์ดังกล่าว ส่วนหนึ่งยังมาจากความตั้งใจหลักของบริษัท ที่ต้องการให้ผู้บริโภคคนไทยมีโอกาสเข้าถึงนมทางเลือกอย่างนมอัลมอนด์ได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งเราได้มองหากวิธีว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้คนมีโอกาสดื่มนมอัลมอนด์ได้มากขึ้นเหมือนกับคนในต่างประเทศ และในอนาคตบริษัทมองว่าตลาดนมอัลมอนด์ จะยังช่วยผลักดันให้ตลาดนมพร้อมดื่มในภาพรวมมีการเติบโตมากกว่านี้”
โดย บริษัทได้วางเป้าหมายภายในปี 2565 จะสามารถนำสินค้าเข้าไปทำตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ครบทั้ง 10 ประเทศ
และในสิ้นปีนี้บริษัทมีแผนลงทุนอีกราว 1,500 ล้านบาท ในโรงงานจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อขยายสายการผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องดื่ม
คาดว่าในปีหน้า (2563) จะมีกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านลิตร จากในปีนี้ (2562) กำลังการผลิตอยู่ที่ 3 ล้านลิตร
จากแผนดังกล่าว บริษัทวางเป้าหมายภายใน 5-6 ปีนับจากนี้ จะสามารถผลักดันให้บริษัทมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวต่อเนื่องทุกปี เฉลี่ยอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 10%
ปัจจุบันบริษัท มีสัดส่วนรายได้หลักแบ่งเป็น กลุ่มขนมขบเคี้ยว(สแน็ก) อยู่ที่ 90% และ เครื่องดื่ม 10% โดยแผนธุรกิจในปีหน้า บริษัทจะมุ่งขยายการส่งออกมากขึ้น โดยขณะนี้มีสัดส่วนการทำตลาดในและต่างประเทศ อย่างละ50% เท่ากัน
โดยปีนี้ บริษัทคาดจะมีอัตราการเติบโตรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราวหนึ่งหลัก เป็นผลจากการชะลอตัวในภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศ และคาดว่าจะปิดยอดขายได้อยู่ที่ราว 10,000 ล้านบาท
สำหรับผลิตภัณฑ์นมอัลมอนด์ ในปัจจุบันแม้จะมีสัดส่วนอยู่ราว 1% หรือ ราว 600 ล้านบาท ของมูลค่าตลาดนมพร้อมดื่มในภาพรวมก็ตาม
แต่เชื่อว่าจากฟังค์ชันนัลของนมอัลมอนด์ ที่ตรงกับความต้องการในการเลือกดื่มนมของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดนมอัลมอนด์ เติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
วิทวัส ปิดท้ายว่าในฐานะรุ่น 3 ของธุรกิจครอบครัว ที่เข้ามาร่วมรับผิดชอบดูแลธุรกิจมาตั้งแต่ อายุ 22 ปี หรือนานกว่า 15 ปีในปัจจุบัน โดยสิ่งท้าทายในการทำธุรกิจจากยุคก่อนถึงในปัจจุบัน คือ “การเรียนรู้” สิ่งใหม่ๆ ที่มาจากทั้งโอกาส ปัญหาอุปสรรค ที่เกิดขึ้นให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการปรับรูปแบบการทำงานองค์กรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ด้วยเช่นกัน เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ อย่างกลยุทธ์ ราคาสินค้า ที่บริษัททำได้นั้น ก็มาจากการตั้งหลักการให้ความสำคัญด้านนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ ออกสู่ตลาด