บัตรเดบิตยุคใหม่ แจ่ม...แจ๋ว...จับใจ

28 พฤศจิกายน 2553

ตอนนี้ถ้าใครเดินเข้าไปที่ธนาคารแล้วถามหา “บัตรเอทีเอ็ม” อาจจะไม่ได้บัตรเอทีเอ็ม เพราะเจ้าหน้าที่ธนาคารจะแนะนำให้ทำ “บัตรเดบิต” เพราะมี “ประโยชน์” มากกว่าบัตรเอทีเอ็มธรรมดาๆ

ตอนนี้ถ้าใครเดินเข้าไปที่ธนาคารแล้วถามหา “บัตรเอทีเอ็ม” อาจจะไม่ได้บัตรเอทีเอ็ม เพราะเจ้าหน้าที่ธนาคารจะแนะนำให้ทำ “บัตรเดบิต” เพราะมี “ประโยชน์” มากกว่าบัตรเอทีเอ็มธรรมดาๆ

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์   

ตอนนี้ถ้าใครเดินเข้าไปที่ธนาคารแล้วถามหา “บัตรเอทีเอ็ม” อาจจะไม่ได้บัตรเอทีเอ็ม เพราะเจ้าหน้าที่ธนาคารจะแนะนำให้ทำ “บัตรเดบิต” เพราะมี “ประโยชน์” มากกว่าบัตรเอทีเอ็มธรรมดาๆ เช่น สามารถนำไปรูดซื้อสินค้าได้เหมือนบัตรเครดิต (แต่จะหักเงินในบัญชีทันที) หรือจะถอนเงินสดจากเครื่องเอทีเอ็มก็ได้วงเงินสูงกว่า

บางธนาคารอาจจะเบื่อที่จะต้องอธิบายสรรพคุณของบัตรเดบิต ก็เลยยกเลิกการทำบัตรเอทีเอ็ม เหลือไว้แต่บัตรเดบิต ขณะที่บางธนาคารกำหนดค่าธรรมเนียมเท่ากันระหว่างบัตรเอทีเอ็มกับบัตรเดบิต จะได้ไม่ทำให้ลูกค้าอย่างเราคิดว่า ที่ต้องจูงใจให้ทำบัตรเดบิตก็เพื่อให้ธนาคารได้ค่ารายได้ค่าธรรมเนียมมากขึ้น

แต่หลายๆ ธนาคารก็พยายามจะสรรหานวัตกรรมทางการเงินมาให้ลูกค้าได้ใช้บริการ เช่น “บัตรเดบิตพ่วงประกันอุบัติเหตุ” ที่เคยนำเสนอกันไปแล้วเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เรื่อง “บัตรเดบิตพ่วงประกันอุบัติเหตุ บัตรเบ่งของคนซุ่มซ่าม” ที่เหมือนกับการจ่ายค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตเพิ่มขึ้น แต่ได้ความคุ้มครองอุบัติเหตุ โดยจ่ายเบี้ยประกันถูกกว่าประกันอุบัติเหตุประเภทแบบเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังมีบัตรเดบิตที่มีลูกเล่นแปลกใหม่มาเอาใจ และต้องยอมรับว่า บัตรเดบิตยุคนี้ เจ๋ง แจ๋ว จี๊ดเข้าไปถึงหัวใจจริงๆ

ออกแบบได้เอง

แค่ลูกเล่นง่ายๆ ที่ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนก็โดนใจได้เหมือนกัน แบบ บัตร K-My Debit Card ของธนาคารกสิกรไทย เพราะเพียงแค่เปิดโอกาสให้เราได้ออกแบบหน้าตาของบัตรเดบิตของเราเอง ก็ได้ใจวัยรุ่นอย่างเราๆ ไปแล้ว

ไม่มีค่าธรรมเนียม

บัตรเดบิตยุคใหม่ แจ่ม...แจ๋ว...จับใจ

หรือจะเป็น บัตร TMB No Limit ของธนาคารทหารไทย ที่แม้จะมีค่าธรรมเนียมแรกเข้าสูงกว่าบัตรเดบิตทั่วๆ ไป แต่ก็ไม่ต้องไปกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมรายปี ค่าธรรมเนียมเบิกเงินต่างจังหวัดและต่างธนาคาร ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับคนที่เดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ แต่ไม่อยากพกเงินสดจำนวนมากๆ ติดตัว รวมทั้งคนที่ชอบถอนเงินทีละเล็กทีละน้อยด้วย

ใช้เบ่งบน ‘บีทีเอส’

ยุคนี้อะไรๆ ก็ต้องรวดเร็วทันใจ บัตรเดบิตอย่าง บัตรบีเฟิร์ส-บีทีเอส ของธนาคารกรุงเทพ ก็เข้ามาช่วยให้ “ชีวิตคนเมือง” สะดวกสบายและรวดเร็วมากขึ้นอีก โดยเฉพาะคนที่ต้องใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสกันเป็นประจำ เพราะนอกจากจะใช้เป็นบัตรเดบิตแบบทั่วๆ ไปแล้ว

บัตรบีเฟิสต์-บีทีเอส ยังสามารถใช้เป็น “บัตรโดยสารบีทีเอสประเภทเติมเงิน” ได้อีกด้วย และสามารถเติมเงินค่าโดยสาร บีทีเอสภายในบัตรได้ที่เครื่องเอทีเอ็ม ธนาคารกรุงเทพ บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส

เมื่อมีบัตรและเงินในบัตรพร้อมแล้ว ก็แค่นำบัตรนี้ไปแตะที่เครื่องอ่านบัตรตรงทางเข้า เหมือนกับการใช้บัตรโดยสารบีทีเอสแบบเติมเงินตามปกติ เพราะบัตรนี้ใช้เทคโนโลยี “ไร้สัมผัส” (คอนแทรกต์เลสเทคโนโลยี)

ซื้อทองไม่ต้องหอบเงิน

สำหรับคนที่ชอบลงทุนทองคำแท่ง ที่ต้องซื้อจากร้านทองน่าจะชอบ บัตร Purchasing Card สำหรับผู้ซื้อทอง ของธนาคารกรุงเทพ เพราะเป็นบัตรที่สามารถนำไปรูดซื้อทองที่ร้านทองฮั่วเซ่งเฮง จินฮั้วเฮง แม่ทองสุก และ YLG Bullion International ได้ โดยไม่ต้องหอบหิ้วเงินสดจำนวนมากๆ หรือไปซื้อแคชเชียร์เช็คให้ยุ่งยาก

และให้วงเงินในการซื้อทองได้สูงถึง 999,999,999 บาทต่อวัน มากกว่าบัตรเดบิตปกติที่มีวงเงินในการถอนเงินสด หรือโอนเงิน 2 แสนบาทต่อวัน และวงเงินในการชำระเงินด้วยบัตรสูงสุดเพียง 1.5 แสนบาทต่อวัน

ลงทุนกองทุนทองคำ

ต้องบอกว่าเป็นอีก “นวัตกรรมทางการเงิน” ที่ช่วยให้การลงทุนในกองทุนทองคำทำได้ง่ายมากขึ้น เพราะ บัตร KTB Gold Invest Card ของธนาคารกรุงไทย เป็นบัตรเดบิตที่ผูกกับกองทุนเปิดเคแทม โกลด์ ฟันด์ (KT-Gold) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย ทำให้การซื้อขายหน่วยลงทุนกองทุนทองคำทำได้ง่ายขึ้น

เพราะกองทุน KT-Gold เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR@Gold Trust ซึ่งมีนโยบายลงทุนในทองคำแท่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำ ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และจัดตั้งและจัดการโดย World Gold Trust Service, LLC ที่ถือหุ้นโดย World Gold Council (WGC) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร โดยที่ บลจ.กรุงไทย จะป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 25%

ถ้าอยากซื้อกองทุนทองคำก็แค่เอาเงินสดไปหยอดใส่เครื่องรับฝากเงิน หรือจะบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย ไปทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็ม หรือเครื่องรับฝากเงิน นอกจากนี้ยังสามารถซื้อผ่านบริการ KTB Online ได้ง่ายๆ และถ้าอยากจะขายกองทุนก็เดินไปที่สาขาของธนาคารกรุงไทย

แต่ถ้าทำรายการได้เพียงเท่านี้คงจะไม่เรียกว่าเป็นนวัตกรรมทางการเงินของจริง เพราะนอกจากจะไปขายคืนที่ธนาคารแล้ว ยังสามารถนำบัตร KTB Gold Invest Card ไปใช้ประโยชน์ได้แบบเดียวกับบัตรเดบิตอื่นๆ คือ นำไปรูดซื้อสินค้าตามร้านค้าที่รับบัตร แต่ไม่สามารถเบิกเงินสดจากเครื่องเอทีเอ็มได้

“ทุกครั้งที่นำบัตรไปรูดซื้อสินค้า เท่ากับเป็นการส่งคำสั่งขายหน่วยลงทุนกองทุนทองคำที่ผูกอยู่กับบัตร KTB Gold Invest Card เท่ากับจำนวนเงินที่ใช้ไป ทำให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนทองคำได้ง่ายขึ้น” อนุชิต อนุชิตานุกูล รองกรรมการผู้จัดการสายงานธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และบริการจัดการทางการเงิน ธนาคารกรุงไทย

นอกจากนี้ การทำรายการซื้อกองทุน หรือขาย (ทั้งขายที่สาขาธนาคารและใช้บัตรซื้อสินค้า) ต้องดูเวลาที่ทำรายการด้วย เพราะจะมีผลต่อการส่งคำสั่งซื้อ หรือขายหน่วยลงทุน ว่าจะเป็นการส่งคำสั่งที่มีผลในวันนี้หรือมีผลในวันทำการถัดไป (ดูรายละเอียดตามตาราง) และที่พิเศษขึ้นอีก คือ จากปกติที่ทำรายการขายหน่วยลงทุนจะต้องรอ 3 วันถึงจะได้รับเงิน แต่ถ้าเป็นการรูดซื้อสินค้าก็สามารถทำได้ทันที

สำหรับรายละเอียดของบัตร จะต้องเริ่มเปิดบัญชีขั้นต่ำ 2,000 บาท และวงเงินที่จะสามารถนำบัตรไปรูดซื้อสินค้าจะต้องไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน และไม่เกิน 80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (เอ็นเอวี) ก่อนวันทำรายการ 1 วัน

เพราะฉะนั้น เอ็นเอวีจะเป็นตัวบอกว่า มูลค่าเงินลงทุนในขณะนี้มีอยู่เท่าไร โดยเอ็นเอวีก็คือเงินลงทุนหรือเงินที่ซื้อกองทุนทองคำ ที่บวกด้วยผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น หรือลบด้วยผลขาดทุน ในขณะที่เอ็นเอวีก็จะเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ ทุกวันตามราคาทองคำในตลาดโลก เพราะฉะนั้นอาจจะต้องคำนวณกันให้ดีๆ ก่อนจะใช้ซื้อสินค้าที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับเอ็นเอวี

ซื้อน้ำมันล่วงหน้า

บัตรเดบิตอีกใบหนึ่งของธนาคารกรุงไทย ที่มีรูปแบบเดียวกันคือ บัตร KTB Oil Fund Card โดยที่บัตรเดบิตใบนี้จะผูกกับหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์ (KT-OIL) บลจ.กรุงไทย เช่นเดียวกัน และเพียง 1,000 บาท ก็สามารถลงทุนได้

“เวลาที่มีข่าวว่าราคานั้นจะปรับเพิ่มขึ้น เราก็จะเห็นคนขับรถเข้าปั๊มน้ำมันไปเข้าแถวเติมน้ำมัน ก็เหมือนเป็นการตุนน้ำมันราคาถูกเอาไว้ก่อน แต่ถ้าใช้บัตร KTB Oil Fund Card ก็เป็นการตุนน้ำมันราคาถูกไว้เหมือนกัน แต่แทนที่จะเป็นการตุนน้ำมันเก็บไว้ในถัง ก็ตุนเข้าไปในบัตรโดยการซื้อกองทุน KT-OIL เอาไว้ เพราะมูลค่าเงินลงทุนจะเปลี่ยนแปลงไปตามราคาน้ำมันในตลาดโลก” อนุชิต กล่าว

กองทุน KT-OIL เน้นลงทุนในกองทุน PowerShares DB Oil Fund เป็นกองทุนลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในน้ำมันดิบ (WTI Light Sweet Crude Oil Futures) ในตลาด NYMEX ประเทศสหรัฐอเมริกา และจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange โดยที่ บลจ.กรุงไทย ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
“ที่ผ่านมากองทุนนี้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันในประเทศถึง 98% และอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันในประเทศด้วย เพราะปกติแล้วราคาน้ำมันในประเทศจะถูกรัฐบาลกดเอาไว้ ในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นไป นอกจากนี้ กองทุนจะได้ประโยชน์หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง” อนุชิต กล่าว

และในทางกลับกันมูลค่าเงินลงทุนในกองทุนน้ำมันจะลดลงหากราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าปรับลดลง รวมทั้งกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น

ดังนั้น การใช้บัตร KTB Oil Fund Card จึงเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน ที่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยการซื้อกองทุน KT-OIL เพื่อล็อกต้นทุนราคาน้ำมันเอาไว้ หลังจากนั้นก็นำบัตรไปชำระค่าน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันที่รับบัตร VISA แต่จะไม่สามารถนำไปใช้รูดซื้อสินค้าอื่นๆ และไม่สามารถเบิกเงินจากเครื่องเอทีเอ็มได้

อนุชิต ยกตัวอย่างว่า ตอนที่น้ำมันราคาลิตรละ 33.33 บาท และมีเงิน 100 บาท จะเติมได้ 3 ลิตร แต่ถ้าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่น เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ลิตรละ 35.71 บาท เพราะฉะนั้นถ้ามีเงิน 100 บาท เท่าเดิมจะเติมน้ำมันได้แค่ 2.8 ลิตรเท่านั้น

แต่ถ้าไปลงทุนผ่านบัตร KTB-OIL Card 100 บาท ถ้าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้น มูลค่าเงินในบัตรก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้เติมน้ำมันได้มากกว่า 2.8 ลิตร หรือเติมในราคาเดิม

ในทางกลับกัน หากราคาน้ำมันลดลง ธนาคารกรุงไทยแนะนำให้ใช้บัตรเครดิต หรือเงินสด จะได้ประโยชน์มากกว่า และในขณะเดียวกันควรจะลงทุนกองทุนน้ำมันตุนเอาไว้ใช้เมื่อถึงช่วงที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ให้สมกับที่มีบัตรเดบิตเจ๋งๆ แจ๋วๆ แบบนี้อยู่ในมือ

Thailand Web Stat