โพลีเพล็กซ์ แนวโน้มดีอีก 1 ปีครึ่ง
...เจียรนัย อุตะมะ
ราคาแผ่นฟิล์ม BOPET พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2553 จนถึงปัจจุบัน และมีการประมาณการว่าราคาจะยังคงสูงอย่างต่อเนื่องจนถึงปีหน้า และจะเกิดสินค้าล้นตลาดในปี 2555 ทำให้ผู้ประกอบการแผ่นฟิล์มอย่างบริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ PTL ยังคาดหวังได้ว่าผลงานจะปรับตัวสูงขึ้นจนถึงปีหน้า เมื่อผนวกกับกำลังการผลิตที่ขยายเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
“วิโนด สูเรคา” ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน PTL นำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนและนักวิเคราะห์ว่า ประมาณการรายได้ในงวดปี 2553 (เม.ย. 2553มี.ค. 2554) จะแตะระดับ 1 หมื่นล้านบาท โตเพิ่มขึ้นกว่า 40% จากงวดปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 7,000 ล้านบาท และทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา โดยส่วนต่างราคาวัตถุดิบและราคาขายผลิตภัณฑ์แผ่นฟิล์มในประเทศคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ 1.5 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม ขณะที่ส่วนต่างราคาวัตถุดิบและราคาขายผลิตภัณฑ์แผ่นฟิล์มในตุรกีจะทรงตัวอยู่ที่ 1.25 ยูโรต่อกิโลกรัม
ทั้งนี้ ครึ่งแรกปี 2553/2554 (เม.ย.ก.ย. 2553) บริษัทมีรายได้รวม 4,670 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31% และมีกำไรสุทธิ 1,175 ล้านบาท เติบโต 172% จากราคาแผ่นฟิล์ม BOPET ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2553 ตามความต้องการของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่มากกว่าผลผลิต ขณะที่ราคาวัตถุดิบ คือ PTA และ MEG ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันรายได้จากสายการผลิตแผ่นฟิล์มเคลือบอะลูมิเนียม (CPP) และแผ่นฟิล์มเคลือบอัดชั้นความร้อน (Coated) ที่คิดเป็นประมาณ 10% ของรายได้รวมที่เพิ่งเริ่มผลิตในเดือน มี.ค. 2553 ได้ช่วยผลักดันกำไรครึ่งปีแรกให้ขยายตัวดี
ผลผลิตตึงตัวในปี 2553 ส่งผลให้ราคาแผ่นฟิล์ม BOPET พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับ 2 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัมในช่วงต้นปี มาที่ระดับ 45 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยแผ่นฟิล์ม BOPET ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 3.45 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม
นอกจากนั้น จากภาวะการผลิตตึงตัวต่อเนื่องในปีหน้า นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คาดว่าราคาจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 3.5 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม ก่อนที่จะปรับตัวสู่ระดับปกติที่ 22.5 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม ในปี 2555 จากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น
PTL ประมาณการว่าอุตสาหกรรมแผ่มฟิล์มปัจจุบันเริ่มตื่นตัว และมีการเพิ่มกำลังการผลิตในหลายภูมิภาค คาดว่าระยะ 23 ปีข้างหน้า กำลังการผลิตทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดสินค้าเกินตลาดในปี 2555 แต่ในปี 2556 ความต้องการซื้อและปริมาณสินค้าในตลาดจะกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
บริษัทตั้งแผนการลงทุนสำหรับระยะ 2 ปีข้างหน้านี้ประมาณเกือบ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการขยายโรงงานในประเทศตุรกี 79 ล้านเหรียญสหรัฐ และประเทศไทยอีก 19.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเริ่มผลิตได้ประมาณปี 2555 ซึ่งจะทำให้การผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2.31 แสนเมตริกตันต่อปี จากปัจจุบัน 1.9 แสนเมตริกตันต่อปี
นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประมาณการว่าแนวโน้มผลประกอบการของ PTL จะทำสถิติสูงสุดในครึ่งหลังของปี 2553/2554 (ต.ค. 2553มี.ค. 2554) และกำไรปี 2554/2555 (เม.ย. 2554มี.ค. 2554) คาดว่ายังทรงตัวในระดับสูงจากภาวะตึงตัวของผลผลิตแผ่นฟิล์ม BOPET
“วิโนด” กล่าวว่า PTL จะเริ่มกระจายความเสี่ยงไปยังผลิตภัณฑ์ฟิล์มชนิดอื่นๆ ที่มีราคาและตลาดแตกต่างไปจาก BOPET จากปัจจุบันบริษัทมีผลผลิตเน้นหนักไปที่ BOPET
ทั้งนี้ PTL ได้มีการลงทุนเครื่องจักรผลิตฟิล์ม BOPP และ CPP (กำลังการผลิต 3.5 หมื่นตัน และ 1 หมื่นตัน ตามลำดับ) ซึ่งการมีผลิตภัณฑ์ฟิล์มหลายชนิดเป็นการกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนของรายได้ นอกเหนือจากการเพิ่มกำลังการผลิตในผลิตภัณฑ์ใหม่ PTL ยังมีการขยายกำลังการผลิตสาย BOPET ซึ่งเมื่อรวมทุกผลิตภัณฑ์แล้วกำลังการผลิตของ PTL มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 28% ต่อปี และมีกำลังการผลิตใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ครองส่วนแบ่งการตลาด 8% ปัจจุบันขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตอันดับ 2 ของโลก เมื่อ Dupont ออกจากอุตสาหกรรมไป
บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นฟิล์ม PET ชนิดบาง โดยส่วนใหญ่เน้นลูกค้าที่ประกอบธุรกิจใน 3 อุตสาหกรรมหลัก คือ บรรจุภัณฑ์ (80% ของยอดขาย) อุตสาหกรรม (18% ของยอดขาย) และอุปกรณ์ไฟฟ้า (2% ของยอดขาย) ซึ่งลูกค้าจะนำแผ่นฟิล์ม PET ของบริษัทไปเป็นส่วนประกอบในการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ต่อไป
สำหรับผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ของ PTL มีความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ของ Polyplex Thailand (ประเทศไทย) และ Polyplex Europa (ประเทศตุรกี) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ของบริษัทแม่ คือ Polyplex India แต่อย่างใด
สำหรับกำลังการผลิตรวมของ Polyplex Thailand และ Polyplex Europa ประกอบด้วยแผ่นฟิล์ม BOPET 1 แสนตัน แผ่นฟิล์ม Metalized BOPET 2.2 หมื่นตัน แผ่นฟิล์ม CPP ชนิดเรียบ 1 หมื่นตัน และชนิดเคลือบอะลูมิเนียม 4,200 ตัน รวมถึงแผ่นฟิล์มเคลือบอัดชั้นด้วยความร้อน (Coated Film) 150 ล้าน ตร.ม.
ทั้งนี้ ไม่รวมกำลังการผลิตประมาณ 400600 ตร.ม. ของโครงการใหม่ คือ สายเคลือบซิลิโคนในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ภายในครึ่งปีแรกของปี 2554
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายกำลังการผลิตแผ่นฟิล์ม BOPET เพิ่มอีก 3.1 หมื่นตัน Metalized BOPET 8,600 ตัน และ PET Resin (วัตถุดิบ) 2.8 หมื่นตัน ในประเทศตุรกี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ภายในครึ่งปีแรกของปี 2555 โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 79 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,400 ล้านบาท ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ)
ทั้งนี้ ความเสี่ยงในการลงทุนหุ้น PTL คือ สินค้าและวัตถุดิบของบริษัทอยู่ในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีที่ราคามีความผันผวนสูง และไม่แน่ชัดว่าวงจรขาขึ้นของราคาแผ่นฟิล์ม BOPET จะลงเมื่อใด