‘บางจาก’ ผุดโปรเจ็คต่อยอดเอทานอล ผลิตน้ำมันเครื่องบินคาร์บอนต่ำป้อนฝูงไอพ่นกองทัพ
กลุ่มบางจากฯ มุ่งสู่ Net Zero ทดลองผลิต SAF เชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน ต่อยอดองค์ความรู้งานวิจัยในไทย แปลงพืชเกษตรเป็นน้ำมันเครื่องบิน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการนวัตกรรมสีเขียวเพื่อทดลองผลิต Sustainable Aviation Fuel (SAF) หรือเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืนจากเอทานอล สู่การพัฒนาน้ำมันเครื่องบินคาร์บอนต่ำ
ทั้งนี้นำมาจากฐานงานวิจัย เพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้จากโครงการวิจัย “การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากฟูเซลแอลกอฮอล์ที่ได้จากโรงงานเอทานอล” เมื่อปี พ.ศ. 2563 ดำเนินการโดย มทร. อีสาน ภายใต้การสนับสนุนการวิจัยโดย วช. ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าของเอทานอลจากการเปลี่ยนเป็นแก๊สโซฮอล์ ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงในการผลิต SAF และช่วยส่งเสริมการพัฒนาเครือข่าย Supply Chain ของเชื้อเพลิงชีวภาพ ตอบรับความต้องการใช้งาน SAF ที่กำลังขยายตัวสูงขึ้นเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก พร้อมรองรับการก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่การใช้พลังงานสะอาด
อย่างไรก็ตามในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปีพ.ศ. 2593 โดยมีเป้าหมายสำคัญเป้าหมายแรกคือความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี พ.ศ. 2573 บางจากฯ มุ่งมั่นที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพแทนการใช้ฟอสซิล เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคขนส่ง ซึ่งบางจากฯ ได้พัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับใช้ในการขนส่งทางบกมาอย่างต่อเนื่อง
“วันนี้มีโอกาสนำองค์ความรู้จากฐานงานวิจัยในประเทศมาทดลองผลิตเพื่อพัฒนา SAF ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุดถึง 80% ตลอดทั้งวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบกับน้ำมันอากาศยานทั่วไป แต่ยังขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำมันอากาศยานคุณภาพสูงเหมาะสำหรับเป็นเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นขับไล่ของกองทัพอากาศอีกด้วย”
นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การศึกษาต่อยอดจากฐานงานวิจัยในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการส่งเสริมและผลักดันผลิตภัณฑ์ชีวภาพในประเทศให้มีมูลค่าสูงขึ้น จากวัตถุดิบภาคการเกษตรที่มีอยู่มากมาย พัฒนาเป็นเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำที่มีประโยชน์มหาศาลต่ออุตสาหกรรมการบิน โดยองค์ความรู้ในการผลิต SAF นี้ มีฟูเซลแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์พลอยได้จากกระบวนการกลั่นเอทานอลเป็นวัตถุดิบ ซึ่งบีบีจีไอฯ มีโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายไบโอดีเซลและเอทานอล ด้วยโรงงานผลิตไบโอดีเซลกำลังการผลิตรวม 1 ล้านลิตรต่อวัน และโรงงานผลิตเอทานอลที่มีกำลังการผลิตรวมสำหรับเอทานอลทั้งหมด 6 แสนลิตรต่อวัน ทำให้มีความเชี่ยวชาญเต็มศักยภาพและพร้อมสนับสนุนการศึกษาครั้งนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าจากกระบวนการผลิตเอทานอลและสนับสนุนนวัตกรรมพลังงานสีเขียว ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในนามกลุ่มบางจากฯ
ด้าน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า โครงการวิจัย “การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากฟูเซลแอลกอฮอล์ที่ได้จากโรงงานเอทานอล” นี้ประสบผลสำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการหรือ Lab Scale ในการผลิตน้ำมันชีวภาพ สำหรับใช้ในเครื่องบินซึ่งเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพสูงจากวัตถุดิบที่เรียกว่า “ฟูเซล (Fusel)” ของโรงงานผลิตเอทานอลที่มีวัตถุดิบจากอ้อย มันสำปะหลัง และกากส่า ถือเป็นพืชเศรษฐกิจตามการส่งเสริมของนโยบายภาครัฐ
นอกจากนี้งานวิจัยยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่ประเทศกำลังมุ่งเน้นและให้ความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวว่า โครงการ ดังกล่าว เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ มุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากกระบวนการหมักวัสดุทางการเกษตรเพื่อเปลี่ยนเป็นน้ำมัน SAF ที่มีมูลค่าสูงขึ้น เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการยกระดับเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมสีเขียวให้กับภาคอุตสาหกรรม และเป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่หน่วยงานของภาครัฐทำหน้าที่ช่วยผลักดันให้เกิดการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมขึ้นในภาคธุรกิจ