สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดธปท.เริ่มส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้น
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดธปท.เริ่มส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้น ในเดือนมิ.ย. เร่งฟื้นเศรษฐกิจไทยก่อนขยับดอกเบี้ย
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเริ่มส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในไตรมาส 3 ปีหน้า
“เราคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ไปจนถึงกลางปีหน้า อย่างไรก็ตาม ธปท.น่าจะเริ่มส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เงินเฟ้อกำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยยังเป็นที่ติดตามว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อนี้จะเป็นเพียงระยะสั้นหรือไม่ และจำเป็นต้องใช้ดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาในตอนนี้หรือไม่” ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าว
ดร.ทิม ยังย้ำว่า “ต้องให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งเพียงพอที่จะรับมือกับการขึ้นดอกเบี้ยได้ก่อน ธปท. จึงจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างไม่เป็นกังวล”
ธนาคารกลางในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศได้ส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น โดยมีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มนำร่อง และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ความเห็นจากคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดหลายท่านทำให้ตลาดเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐจะมีการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก ดังนั้น ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งละ 0.50% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนที่จะถึงนี้ จากนั้นจะปรับขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคม ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด อย่างไรก็ตาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดมีมุมมองว่า ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดหลังจากเดือนกรกฎาคมนั้นจะไม่รุนแรงเท่าที่ตลาดคาดการณ์ในตอนนี้
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลักอื่นๆ จะเริ่มสูงกว่าของไทย ดังนั้น เพื่อเป็นการลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะเริ่มส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะเดียวกัน เราต้องติดตามดูว่าภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั่วโลกจะชะลอตัวลงไหม ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดจากนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นและรายได้แท้จริง (หักเงินเฟ้อ) ที่อาจลดลง
ปัจจัยในประเทศปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้บาทค่อยๆ แข็งค่าขึ้นเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2565 น่าจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้เนื่องมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลลบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ในส่วนของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ยังอยู่ในภาวะปกติ โดยการพิจารณางบประมาณปี 2566 น่าจะเสร็จสิ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปจะเริ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์/บาท น่าจะค่อยๆ แข็งค่าขึ้น ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดมองว่า ค่าเงินดอลลาร์/บาท จะอยู่ที่ราว 33 ในครึ่งปีแรกของปี 2565 และปรับเป็น 32.5 และ 32 ในไตรมาส 3 และ 4 ตามลำดับ
ดร.ทิม กล่าวว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดยังคงมีมุมมองระมัดระวังต่อเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม เราคงประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ที่ร้อยละ 3.3
“ก่อนหน้านี้ ตัวเลขของเราต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ตอนนี้ตลาดกำลังปรับลดประมาณการ มองไปข้างหน้า เราหวังจะเห็นเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการปรับตัวใช้ชีวิตร่วมกับโควิด-19” ดร.ทิม กล่าว
“งานหลักสำคัญในปี 2565 คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อความต่อเนื่องในการฟื้นตัวในปี 2566 การที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องนั้น รัฐบาลอาจต้องเข้ามาช่วยผลักดันมาตรการและนโยบายต่างๆ และหากมองว่าการกู้เงินเพิ่มเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพมีความจำเป็น ประเทศไทยก็ยังพอมีความสามารถที่จะกู้เงินเพิ่มได้อีก”