‘ตั้งคารวคุณ’ สร้าง TOA สู่ธุรกิจสีเบอร์หนึ่ง เสริมมั่งคั่งเฉียดแสนล้านบาท
จากห้องแถวคูหาเดียวของ ”ตระกูลตั้งคารวคุณ” สู่ เส้นทางก่อกำเนิดของอาณาจักรสีทาอาคาร TOA มูลค่า Market Caps. เกือบ 7 หมื่นล้าน ซึ่งปัจจุบันผู้นำอย่าง ประจักษ์ เริ่มส่งไม้ต่อให้ทายาทรับช่วงดูแลกิจการ ที่ต่อยอดความมั่งคั่งของครอบครัวจะเติบโตเฉียดแสนล้านบาท
หากจะกล่าวถึงแบรนด์สีทาอาคารที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 58 ปี "TOA" จะต้องเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่ทุกคนรู้จัก ซึ่งปัจจุบันบริหารจัดการโดย บมจ. ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) หนึ่งในธุรกิจของตระกูล "ตั้งคารวคุณ" โดยการนำทัพของ ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ พร้อมภรรยา คือ ละออ และทายาทอีก 4 คน ได้แก่ วนรัชต์ จตุภัทร์ ณัฏฐวุฒิ และบุศทรี หวั่งหลี (ลูกสาวคนเล็ก)
โดยสมาชิกของครอบครัวตั้งคารวคุณต่างถือครองหุ้นใน TOA นั่นคือ วนรัชต์ ที่ 182,600,000 หุ้น หรือคิดเป็น 9% ณัฏฐวุฒิ ที่ 182,600,000 หุ้น หรือคิดเป็น 9% บุศทรี ที่ 182,600,000 หุ้น หรือคิดเป็น 9% จตุภัทร์ ที่ 182,600,000 หุ้น หรือคิดเป็น 9% ประจักษ์ ที่ 91,300,000 หุ้น หรือคิดเป็น 4.50% และ ละออ ที่ 91,300,000 หุ้น หรือคิดเป็น 4.50%
TOA เป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสีแห่งเดียวที่มีเจ้าของเป็นคนไทย ซึ่งในวันนี้เป็นที่ยอมรับและไว้วางใจจากผู้บริโภค เฉือนชนะ Top-5 แบรนด์ชั้นนำต่างประเทศ จนสามารถขึ้นแท่นเป็นผู้นำสีในภูมิภาคอาเซียน ที่มิใช่เป็นการประสบความสำเร็จแบบชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน
เพราะตลอดระยะเวลา 58 ปี ที่ผ่านมาต้องผ่านบทพิสูจน์อย่างมากมาย ซึ่งแต่ละก้าวนั้น ถือเป็นสิ่งสำคัญและมีความหมายที่ทำ TOA เติบโตอย่างแข็งแกร่งจวบจนทุกวันนี้ โดยเป็นบริษัทที่มี Market Caps. เกือบ 7 หมื่นล้านบาท ณ วันที 20 เดือนธันวาคม 2565
จากความสำเร็จของ TOA ทำให้ตระกูลตั้งคารวคุณ ที่มีประจักษ์เป็นทั้งผู้นำและประธานกรรมการของบริษัท ได้เพิ่มพูนความมั่งคั่งให้กับทั้งตัวเขาและครอบครัวไปถึง 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 6 เดือนกรกฎาคม 2565 หรือเป็นเศรษฐีไทยในอันดับที่ 9 จากการรายงานของ Forbes
ทิศทางความมั่งคั่งของ “ตั้งคารวคุณ”
เส้นทางก่อกำเนิดของอาณาจักรสีทาอาคารภายใต้แบรนด์ TOA เริ่มต้นจากห้องแถวคูหาเดียวของพี่น้องตระกูลตั้งคารวคุณ 7 คน ได้แก่ สงวน-ประเสริฐ-ประจักษ์-บรรเจิด-อาจณรงค์-อรสา-ประวิทย์ ที่เริ่มต้นบุกเบิกธุรกิจเป็นครั้งแรกของครอบครัวขึ้น ด้วยการผลิตสินค้าของตัวเอง ในปี 2501
ที่เริ่มจากผลิตและจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ได้แก่ ทินเนอร์ แล็กเกอร์ แอลกอฮอล์ แชลแลค น้ำมันทาไม้ ตราปลาฉลาม และกาว Latex จนสามารถยึดตลาดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดได้สำเร็จ โดยใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า ก๋ำเช้ง คือ การดูแลลูกค้าด้วยใจและตอบแทนลูกค้าดุจญาติมิตรอย่างดีเสมอมา
ปี 2507 TOA เริ่มต้นก้าวแรกกับธุรกิจสีทาอาคารอย่างเป็นรูปธรรม โดยการก่อตั้ง “ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไทยเกษมเทรดดิ้ง” ในฐานะตัวแทนจำหน่ายสีจากประเทศญี่ปุ่น นำเข้ามาขายในไทยอาทิ สีน้ำมันใช้ยี่ห้อ โตอะ (TOA) แปลว่า เอเชียตะวันออก และสีทาภายในยี่ห้อเซลโทน (Ceil-Ton) สียี่ห้อ WallTex, วานิช (Varnish) แล็กเกอร์ (Lacquer) สีสเปรย์ สีกันสนิม (TOA Red Oxide Primer) และสีพ่นอุตสาหกรรม TOA
กระทั่ง ปี 2515 ประจักษ์ ตัดสินใจแยกออกมาทำธุรกิจสีเอง โดยมีความตั้งใจที่จะสานฝันที่ว่า “เราจะไปจับปลาในมหาสมุทร” โดยมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนฐานะจากตัวแทนจำหน่ายเป็นผู้ผลิตที่มีโรงงานผลิตสีเอง เพื่อจะได้ขยายธุรกิจให้ครบวงจรและมั่นคงยิ่งขึ้น
ตัวเขาจึงตัดสินใจตั้ง บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นมา และสร้างโรงงานผลิตสีแห่งแรกขึ้นบนถนนปู่เจ้าสมิงพราย (สำโรง) จังหวัดสมุทรปราการ บนที่ดิน 2 ไร่ครึ่ง กระทั่งเป็นประมาณ 15 ไร่ ในปัจจุบัน ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในการถือกำเนิดแบรนด์สีไทยที่สามารถผลิตได้เองในประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “TOA” อย่างเป็นทางการ
อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ ปี 2522 TOA ปฏิวัติวงการตลาดสีน้ำพลาสติกที่ผลิตมาจากกาวลาเท็ก พีวีเอซี โคพอลิเมอร์ (Latex PVAc Copolymer) โดยการคิดค้นนวัตกรรมสีน้ำอะคริลิกจากประเทศอเมริกามาทดแทน (100% Pure Acrylic Technology) ที่มีคุณภาพสูงกว่า และนำมาใช้เป็นรายแรก ภายใต้แบรนด์สี “SuperShield” ที่มีประสิทธิภาพเช็ดล้างทำความสะอาดตัวเองได้ (Self-Cleaning Technology) ทนทานนาน 15 ปี
ทั้งนี้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม TOA ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ตั้งแต่เมื่อปี 2560 จึงถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งการจ้างงาน และสร้างรายได้กลับเข้าสู่ประเทศอย่างมหาศาล โดยการนำธงชาติไทยไปขยายธุรกิจ สร้างฐานผลิตที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน ทั้งประเทศเวียดนาม เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย
นับว่า TOA เป็นแบรนด์ค้าสีรายแรกของไทยที่กล้าจะออกไปจับปลาในมหาสมุทร เพื่อแข่งขันกับ Big players รายใหญ่และรายย่อย พร้อมตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะเป็นแบรนด์สีเบอร์หนึ่งในภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ TOA เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 เกือบ 50% รวมถึงขยายฐานการผลิตและเครือข่ายจัดจำหน่ายครอบคลุมเขต ASEAN 7 ประเทศ ด้วยส่วนแบ่งตลาด 13% และมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับในตลาด ซึ่งปัจจุบันก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เพื่อมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแบบครบวงจร
สำหรับในปี 2565 นี้ TOA ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมภายใต้โจทย์ทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพการใช้งานที่ต้องดีกว่า ด้านการตอบโจทย์ปัญหาการใช้งานของบ้าน การก่อสร้างและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้ครอบคลุมมากขึ้น และการพัฒนาสินค้าที่มีอยู่และสินค้าใหม่ ๆ ให้เกิดความปลอดภัยความยั่งยืนทั้งต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตเพิ่มขึ้น 18% โดยมุ่งขยายธุรกิจเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง
ควบคู่ไปกับการเป็นผู้นำตลาดสีทาอาคาร เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้าได้อย่างครบวงจร ผ่านเครือข่ายร้านค้าพันธมิตรที่แข็งแกร่งของ TOA ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงเร่งการเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศ โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาดและผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ TOA ยังสามารถทำรายได้ถึง 17,570 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8%
และด้วยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีมาอย่างยาวนานส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ TOA มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายในไตรมาส 3 ปี 2565 จำนวน 5,037.9 ล้านบาท เติบโตขึ้น 27% ตอกย้ำความสำเร็จการเติบโตของธุรกิจสีทาอาคารที่แข็งแกร่ง เสริมด้วยการเติบโตของธุรกิจเคมีก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้างน้ำหนักเบา ส่งผลให้ยอดขายในงวด 9 เดือนแรก อยู่ที่ 15,204.2 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 18% และมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 จำนวน 353.8 ล้านบาท เติบโตกว่า 32%
ทั้งนี้มีนักวิเคราะห์ในตลาดหลักทรัพย์ได้ให้แนวทางเชิงบวกด้วยเป้าหมายการเติบโตของยอดขายที่ 18% ในปี 2566 ขณะที่มีคาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะอยู่ในกรอบ 31%-32% (เทียบ 35% ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19) และ EBITDA margin ที่ 15%
นอกจากนี้ TOA กำหนดงบลงทุนที่ 500 ล้านบาท และ 700 ล้านบาทในปี 2565 และ 2566 ไว้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายกาลังการผลิต ส่วนภาพรวม ไตรมาส 4 คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวจากแนวโน้มราคาวัตถุดิบและราคาพลังงานที่ทรงตัวและเริ่มมีแนวโน้มลดลง และจากข้อมูลของ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ระบุว่า ราคาหุ้น TOA ในปี 2565 นี้จะอยู่ในระดับสูงสุดที่ 40 บาทต่อหุ้น และต่ำสุดที่ 35 บาทต่อหุ้น และราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 36.83 บาทต่อหุ้น
แม้การผลิตและจำหน่ายสีจะเป็นธุรกิจดั้งเดิมและทำรายได้ดีงาม แต่ตระกูลตั้งคารวคุณก็ไม่ได้หยุดทรัพย์สินให้งอกงามแค่กับเพียงธุรกิจสีอย่างเดียวเท่านั้น ยังแตกยอดไปสู่ บริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (TOAVH) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ทำหน้าที่เป็นบริษัทลงทุนในกลุ่มธุรกิจอื่น ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มธุรกิจ
1. กลุ่มธุรกิจสีอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนยานยนต์ ได้แก่ บริษัท ทีโอเอ เพอฟอร์มมานซ์ โค๊ทติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท ทีโอเอ - ชูโกกุ เพ้นท์ จำกัด บริษัท ทีโอเอ-ชินโต (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัท ทีโอเอ-ยูเนี่ยน เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท จอยสัน-ทีโอเอ เซฟตี้ ซิสเต็มส์ จำกัด
2. กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ ที่ TOAVH ไปถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) หรือ SWC ที่มีสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ภายใต้แบรนด์ Teepol, Chaindrite, Chaingard จากประเทศอังกฤษ ที่ได้ซื้อกิจการเคมีภัณฑ์ในครัวเรือนนี้ จากบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2539 และดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งเรื่องสุขภาพ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
รวมทั้งยังได้ขยายธุรกิจไปยังกลุ่ม Food & Beverage แบ่งเป็น 2.1 ขนมขบเคี้ยวและถั่ว แบรนด์ “มารูโจ้” 2.2 เครื่องดื่มสมุนไพร แบรนด์ “SuperFight” ซึ่งเปิดตัวทำตลาดเมื่อเดือนเมษายน 64 ที่ผ่านมา 3.นมพร้อมดื่ม อาหารและเครื่องดื่ม แบรนด์ “Hokkaido Milk” อาทิ นมพาสเจอร์ไรส์พร้อมดื่ม นมอัดเม็ด โยเกิร์ตบรรจุขวด กลุ่มน้ำผลไม้ เมนูสมูทตี้ นมถั่วเหลือง
3. ธุรกิจผู้จำหน่ายรถยนต์ ที่เริ่มขยายพอร์ตมายังธุรกิจนี้เมื่อปี 2552 เริ่มจากแบรนด์ ซูซูกิ ใช้ชื่อ ไอทีโอเอ ออโต้เซลส์ และต่อมาในปี 2557 ได้ขยายมาทำแบรนด์เอ็มจี ในชื่อ เบส ออโต้เซลส์ และล่าสุดลงทุนมาที่พรีเมียมแบรนด์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ภายใต้ชื่อ ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์
4. ธุรกิจบริหารจัดการและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กับ “ดองกิ มอลล์ ทองหล่อ” โดยการร่วมมือกันระหว่าง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท แพน แปซิฟิค รีเทล แมเนจเม้นท์ (สิงคโปร์) จำกัด บริษัทในเครือของบริษัท แพนแปซิฟิค อินเตอร์เนชั่นแนล โฮล-ดิ้งส์คอร์ป (PPIH) ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของญี่ปุ่นดองกิโฮเต้ (Don Quijote)
ปัจจุบัน ประจักษ์ ได้มอบหมายภารกิจหน้าที่ให้กับลูก ๆ ดูแลธุรกิจในเครือ โดยให้ จตุภัทร์ ดูแลและบริหาร TOA ส่วนลูกชายคนที่สาม ณัฏฐวุฒิ ให้ดูแล TOAVH ซึ่งเป็นบริษัทในเครือทีโอเอ
ขณะที่ วนรัชต์ ลูกชายคนโต รับผิดชอบ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ที่ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนบุศทรี ลูกสาวคนสุดท้อง ก็ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท พูลผลทรัพย์ จำกัด (PPS Asset) พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ The Ricco (เดอะริคโค้)
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นธุรกิจครอบครัวที่มีการบริหารงานที่ดี จะส่งผลการดำเนินธุรกิจในปีต่อ ๆ ไป จะทำให้ “TOA” รักษาแชมป์เบอร์ 1 ผู้นำตลาดสีทาอาคารด้วยกลยุทธ์ใดบ้าง ต้องติดตามกันต่อไป