ผ่าขุมทรัพย์ “อีซูซุ” ฟันกำไร 5 ปี กว่า 67,000 ล้าน
เปิดขุมทรัพย์ “อีซูซุ” ประเทศไทย ในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (ปี 61-65) โกยรายได้กว่า 927,033 ล้านบาท กำไรกว่า 67,820 ล้านบาท ก่อนออกมายืนยันไม่มีแผนย้ายฐานการผลิตจากไทยไปอินโดนีเซีย หลังมีข่าวเล็งย้านฐานการผลิตในปีหน้า
ไม่แน่ชัดว่านโยบายการปรับขึ้นค่าแรง 450 บาท จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระแสข่าวการฐานการผลิตรถยนต์จากไทยไปยังอินโดนีเซียของ “อีซูซุ” หรือไม่ เพราะกระแสข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังจากที่มีนโยบายดังกล่าวออกมา หรือจะเป็นแค่จังหวะตรงกันเท่านั้น ?
โดยกระแสข่าวดังกล่าวมาจากการรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งมีการรายงานอ้างอิงแถลงการณ์จากกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย โดย นายอากัส กูมิวัง คาร์ตาซัสมิตา รัฐมนตรีอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ระบุว่า บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น มีแผนจะโยกย้ายการผลิตรถยนต์ จากโรงงานแห่งหนึ่งใน ประเทศไทย ไปยัง อินโดนีเซีย โดยจะเริ่มการผลิตอย่างเร็วที่สุดในปี 2567
ขณะที่ ล่าสุด บริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลส์ จำกัด ได้ชี้แจงว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงและไม่ใช่การประกาศอย่างเป็นทางการจาก บริษัท อีซูซุมอเตอร์ แต่อย่างใด ถึงแม้ว่าประเทศอินโดนีเซียจะเป็นตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่งของอีซูซุก็ตาม เราไม่มีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังอินโดนีเซีย
ดังนั้นจากประเด็นดังกล่าว “โพสต์ทูเดย์” จะพามาทำความรู้จักและเปิดขุมทรัพย์ของ “อีซูซุ” รวมไปถึงภาพรวมยอดการผลิตรถยนต์ในปี 2566 และทิศทางอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยในปี 2566-2567 ซึ่งมีส่วนสนับสนุนอุตสาหกรรมยายนต์ไทย และอีซูซุ เติบโต
โดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประมาณการยอดการผลิตรถยนต์ในปี 2566 อยู่ที่ 1,950,000 คัน เพิ่มขึ้น 3.5% จากปี 2565 ที่ผลิตได้ 1,883,515 คัน แบ่งเป็นยอดผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน เพิ่มขึ้น 1.2% จากปีก่อนอยู่ที่ 1,037,317 คัน และเป็นยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 900,000 คัน เพิ่มขึ้น 6.4% จากปีก่อนอยู่ที่ 846,198 คัน
ทางด้าน Krungthai COMPASS ระบุว่า ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์ที่สำคัญของโลก และธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานที่มีบทบาทสำคัญ โดยในปี 2565 สินค้ากลุ่มยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกอันดับหนึ่งของไทย และมีมูลค่าส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 12.3% ต่อ GDP
ทั้งนี้ ประเมินว่า ในปี 2566 ตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ไทยจะมีมูลค่าราว 1.51 ล้านล้านบาท เติบโต 1.3%YoY และมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง 2.6%YoY ในปี 2567 จาก 3 ปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ 1.การเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ทั้งในและต่างประเทศ 2.การเพิ่มของปริมาณรถยนต์และรถจักรยานยนต์สะสมที่มีอายุมากกว่า 5 ปี และ 3.ตลาดส่งออกยังมี Room to Grow อีกมาก
ผ่างบ “อีซูซุ” (ประเทศไทย)
จากการสำรวจข้อมูลจาก Creden Data พบว่า บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 1 เม.ย.2509 ซึ่งปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนกว่า 8,500 ล้านบาท ประกอบธุรกิจการผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล มีวัตถุประสงค์การผลิตรถยนต์บรรทุกและกระบะ
โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท อีซูซุมอเตอร์เอเชีย จำกัด ในสัดส่วน 71.15% รองลงมา คือ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลล์ จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 27.29%
ปัจจุบัน อีซูซุ มีโรงงานผลิตรถยนต์ 2 แห่ง ในประเทศไทย ที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ และนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา โดยมีกำลังการผลิตรถยนต์รวมกัน 385,000 คัน/ปี คิดเป็นสัดส่วนยอดผลิตรถยนต์ในประเทศ 15-20% แบ่งเป็นการผลิตเพื่อขายในประเทศ ประมาณ 60% และส่งออก 40% ขณะที่แบ่งเป็นการผลิตรถ pick up 80%, PPV 15% และ Truck 5% และมีการจ้างงานพนักงานราว 6,000 คน
ในส่วนยอดขายรวมของรถอีซูซุ ปี 2564 อยู่ที 184,160 คัน แบ่งเป็นรถปิกอัพอีซูซุดีแมคซ์ 150,741 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดรถปิกอัพของอีซูซุ 44.1% และรถอเนกประสงค์อีซูซุมิว-เอ็กซ์ ขายได้ 16,439 คัน ส่วนแบ่งการตลาด 31.6% สำหรับรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ ขายได้ 16,980 คัน ส่วนแบ่งการตลาด 50.6%
ทางด้านผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี (2561-2565)
ปี 2561
- รายได้รวม 186,774,282,918 บาท
- กำไรสุทธิ 15,303,470,916 บาท
ปี 2562
- รายได้รวม 184,584,206,551 บาท
- กำไรสุทธิ 15,676,720,463 บาท
ปี 2563
- รายได้รวม 169,450,397,157 บาท
- กำไรสุทธิ 10,375,839,174 บาท
ปี 2564
- รายได้รวม 164,116,382,349 บาท
- กำไรสุทธิ 9,281,314,421 บาท
ปี 2565
- รายได้รวม 222,107,618,107 บาท
- กำไรสุทธิ 17,182,473,624 บาท
“ย้ายฐาน” ทำไทยอ่วม! จากมุมมองนักเศรษฐศาสตร์
“พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร ให้มุมมองว่าการลงทุนของอีซูซุครั้งนี้ อาจเป็นการเพิ่มการลงทุนใหม่ มากกว่าการย้ายฐานการผลิต เพราะปัจจุบัน อีซูซุใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ปีละ 4 แสนคัน ดังนั้นหากย้ายฐานการผลิตทั้งหมดไปอินโดนีเซีย อีซูซุอาจต้องใช้เวลาหลายปี ถึงจะสามารถหาตลาด และผลิตรถ ได้ระดับ 4 แสนคัน เหมือนประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นว่า ประเทศไทย ไม่ได้เป็นจุดมุ่งหมายการลงทุนใหม่ๆ ของต่างชาติอีกต่อไป ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการย้ายฐานการผลิต หรือเป็นการหันไปลงทุนใหม่ในต่างประเทศ ในอาเซียนมากขึ้น ก็ถือเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เพราะประเทศไทยกำลังสูญเสีย การลงทุน และขาดปัจจัยดึงดูดในการลงทุนใหม่
“อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่า ข่าวการย้ายฐานการผลิตดังกล่าว ยังต้องจับตาใกล้ชิด หากเป็นการย้ายฐานการผลิตรถปิกอัพ เชื่อว่ากระทบต่อประเทศไทยอย่างมาก เนื่องจากอีซูซุ ถือเป็น 3 แบรนด์ใหญ่ของประเทศไทย
ประกอบกับประเทศไทย ยังมีการส่งออกรถปิกอัพไปอาเซียนเกินครึ่ง ดังนั้นการย้ายฐานการผลิตครั้งนี้ มีผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะการย้ายฐานการผลิตรถยนต์ มีความเกี่ยวเนื่องกับหลายอุตสาหกรรม ซึ่งกระทบแน่นอนต่อการส่งออก กระทบต่อภาคการผลิต และภาพเศรษฐกิจไทย
“เชาว์ เก่งชน” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่าในด้านของผู้ลงทุน ถือว่าเป็นปกติที่อาจเห็นการย้ายฐานการผลิต หรือการขยายกำลังการผลิตไปใกล้กับผู้บริโภคหลักมากขึ้น เช่น อินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันมีประชากรค่อนข้างมาก เศรษฐกิจเติบโตรวดเร็ว ดังนั้นการย้ายฐานการผลิต หรือการไปลงทุนใหม่ในอินโดนีเซีย ก็อาจเป็นเรื่องของการลดต้นทุนให้ผู้ลงทุนมากขึ้น