posttoday

ลุ้น 31 พ.ค. ศาลอาญาทุจริตฯ นัดฟังคำสั่ง ไตรรัตน์ ฟ้อง 4 กสทช.

29 พฤษภาคม 2567

จับตาศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ หากศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้อง จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยในการที่นายไตรรัตน์ฯ จะร้องขอให้ 4 กสทช. หยุดปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการสรรหาเลขาธิการ กสทช.หรือไม่

ตามที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการ กสทช.กับพวกรวม 5 คน ได้แก่ พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ,นางสาวพิรงรอง รามสูต ,นายศุภัช ศุภชลาศัย รองศาสตราจารย์ ,นายสมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ และนายภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ (รองเลขาธิการ กสทช.)  เป็นจำเลย ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 155/2566 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กล่าวหาโจทก์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ กสทช. ได้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของการกีฬาแห่งประเทศไทย

แต่เกิดเหตุการณ์จอดำขึ้น   จึงได้มีการแต่งตั้งอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีรายงานความเห็นว่าโจทก์อาจจะมีการกระทำที่เข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายและมติ กสทช. ที่เกี่ยวข้อง จึงเสนอให้ที่ประชุม กสทช. พิจารณา กรรมการทั้ง 4 ท่านจึงได้มีมติให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ และโดยที่โจทก์เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในสำนักงาน กสทช. จึงมีความจำเป็นต้องให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. เป็นการชั่วคราวไว้ก่อนในระหว่างการสอบสวน และแต่งตั้งรักษาการฯ คนใหม่ในระหว่างนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใส 

ทั้งนี้ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 นี้ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้มีนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาว่าคดีมีมูลที่จะรับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่  จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า หากศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้อง จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยในการที่นายไตรรัตน์ฯ จะร้องขอให้ 4 กสทช. หยุดปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการสรรหาเลขาธิการ กสทช. เช่นเดียวกับคดีที่ทรูได้ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อนางสาวพิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. จากการที่สำนักงาน กสทช. ออกหนังสือไปถึงผู้ประกอบการโทรทัศน์กรณีการให้บริการของ True ID และต่อมากลุ่มทรูได้มีการร้องขอให้ นางสาวพิรงรอง หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ กสทช. ในการพิจารณาเรื่องใดๆ ที่มีส่วนเกี่ยวของกับกลุ่มทรูทั้งหมด โดยอ้างว่าจะไม่มีความเป็นกลาง ซึ่งเป็นที่ถูกวิพากษ์ วิจารณ์ในวงวิชาการและในมุมของการคุ้มครองผู้บริโภคว่าเป็นการใช้กฎหมายและศาลมาเป็นเครื่องมือเพื่อสกัดกั้นบุคคลที่ตนเห็นว่าจะไม่ยังประโยชน์แก่ตนหรือเรียกกันว่าเป็นการฟ้องปิดปาก 

สำหรับในกรณีการฟ้องของนายไตรรัตน์ฯ นั้นหากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่า การที่ 4 กสทช. มีมติว่านายไตรรัตน์ฯ น่าจะการดำเนินที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เอกชนบางรายได้ประโยชน์ในการถ่ายทอดฟุตบอลโลกด้วยเงินสนับสนุนจาก กสทช. และให้นายไตรรัตน์ฯ พ้นจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. ในระหว่างที่จะมีการสอบสวนทางวินัยนั้น หากนายไตรรัตน์ฯ เห็นว่าเป็นมติ กสทช. ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ถูกต้อง ก็ควรที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์โต้แย้งหรือยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้ยกเลิกเพิกถอนเหมือนกับกรณีข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นๆ

แต่นายไตรรัตน์ฯ เลือกที่จะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริตฯ โดยตรงเพื่อขอให้ศาลลงโทษทางอาญาแก่ 4 กสทช. ซึ่งหากศาลเห็นว่าคดีมีมูลและรับฟ้องไว้  นายไตรรัตน์ฯ ก็จะใช้เป็นข้ออ้างให้ 4 กสทช. ไม่มีสิทธิพิจารณาการสรรหาเลขาธิการ กสทช. ที่ว่างเว้นมานาน โดยประธาน กสทช. จะนำชื่อนายไตรรัตน์ฯ เสนอให้คณะกรรมการ กสทช. พิจารณาแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งที่ผ่านมา 4 กสทช. ได้คัดค้านมาโดยตลอด เพราะเห็นว่ากระบวนการสรรหาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามหลักการแล้ว จะต้องให้กรรมการ กสทช.ทั้งหมดเป็นผู้พิจารณารายชื่อผู้สมัครเป็นเลขาธิการ กสทช. และการสรรหาที่ผ่านมา ก็จะเป็นการนำรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติทุกคนทั้งหมดมาให้ กสทช. พิจารณาร่วมกัน

ฉะนั้น ในครั้งนี้ หาก 4 กสทช. ไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมในวาระนี้ ก็จะกลายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ กสทช. ที่ผู้เป็นเลขาธิการ กสทช. มาจากการนำเสนอของประธาน กสทช. แต่เพียงผู้เดียว และผ่านความเห็นชอบจากกรรมการ กสทช. เพียง 3 ท่านจากจำนวนทั้งหมด 7 ท่าน