ทำความรู้จัก Stablecoin เหมาะนำมาใช้ในไทยแค่ไหน?
เวทีสัมมนาของพรรคเพื่อไทย ภายใต้โครงการเสริมศักยภาพ สส. ในหัวข้อ “สถานการณ์ทิศทางโลกและการปรับตัว” ซึ่ง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีการพูดถึงประเด็นของการให้กระทรวงการคลังศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ Stablecoin มาใช้ เพื่อเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยไม่ต้องพิมพ์ธนบัตร และมีบอนด์ของรัฐบาลค้ำประกัน สนับสนุนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2568 โต 3.5% และในปี 2569 โต 4.0%
ขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อพิจารณาให้สามารถนำ “บาทแบ็คสเตเบิ้ลคอยน์” (Baht-backed Stablecoin) ไปใช้ในระบบนิเวศหลักทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงพัฒนาระบบบล็อกเชนกลางที่จะเชื่อมต่อระบบนิเวศหลักทรัพย์ดิจิทัลทั้งระบบให้ทุกคนสามารถเข้ามาใช้ได้ด้วย
โดยปัจจุบัน ก.ล.ต.อยู่ระหว่างแก้กฎหมายและออกประกาศกฎหมายลูกขึ้นมารองรับการพัฒนาระบบนิเวศหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (Digital Securities Ecosystem) ของตลาดทุนไทย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไม่เกินไตรมาส 2/2568
ดังนั้น “โพสต์ทูเดย์” จะพามาทำความรู้จักกับ “Stablecoin” ว่าคืออะไร ข้อดี-ข้อเสียในการนำมาใช้ และมีประเทศไหนบ้างที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงประเทศไทยเหมาะที่นำมาใช้หรือไม่
ก่อนอื่นต้องรู้ว่า Stablecoin คืออะไร
Stablecoin คือ สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ที่ถูกออกแบบมาให้มีมูลค่าคงที่หรือผันผวนน้อยกว่าสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ เช่น Bitcoin และ Ethereum โดย Stablecoin มักอิงมูลค่ากับสินทรัพย์ที่มีความเสถียร เช่น เงินสกุลทั่วไป (Fiat Currency) เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD), ยูโร (EUR), ทองคำ, คริปโตเคอร์เรนซีอื่น หรือกลไกทางเทคนิค เช่น อัลกอริธึม ด้วยคุณสมบัตินี้ ทำให้ Stablecoin เป็นเครื่องมือสำคัญในระบบการเงินดิจิทัลและเศรษฐกิจแบบกระจายอำนาจ (Decentralized Economy)
ทั้งนี้ Stablecoin แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ประกอบด้วย
1.Fiat-backed Stablecoin
- มีมูลค่าผูกกับเงินสกุลทั่วไป เช่น USDT (Tether), USDC (USD Coin)
- ทรัพย์สินสำรองถูกเก็บไว้ในรูปของเงินสดหรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด
2.Commodity-backed Stablecoin
- มีมูลค่าผูกกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำหรือเงิน เช่น Paxos Gold (PAXG)
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการถือสินทรัพย์ที่จับต้องได้ในรูปแบบดิจิทัล
3.Crypto-backed Stablecoin
- มีมูลค่าผูกกับคริปโตเคอร์เรนซี เช่น DAI ที่ใช้ Ethereum เป็นหลักประกัน
- มักมีการ “over-collateralization” (การค้ำประกันเกินมูลค่า) เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดคริปโตฯ
4.Algorithmic Stablecoin
- ใช้อัลกอริธึมเพื่อปรับสมดุลอุปสงค์และอุปทาน เช่น UST (ก่อนล่มสลาย)
- ไม่มีสินทรัพย์สำรองจริง รองรับมูลค่าด้วยกลไกทางตลาด
ข้อดีและประโยชน์ของ Stablecoin
Stablecoin มีข้อดีหลายประการ โดยเฉพาะในบริบทของการเงินดิจิทัลและการใช้สกุลเงินคริปโตฯ
1.ความเสถียรของราคา: ลดความเสี่ยงจากความผันผวนที่พบในคริปโตเคอร์เรนซีทั่วไป
2.ตัวกลางการแลกเปลี่ยน: เหมาะสำหรับการซื้อขายและโอนเงินระหว่างประเทศ
3.ค่าธรรมเนียมต่ำ: ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม
4.การใช้งานใน DeFi: สนับสนุนการกู้ยืมและการสร้างสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract)
5.การป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงิน: ใช้ในประเทศที่เผชิญปัญหาเงินเฟ้อหรือค่าเงินผันผวน
ข้อเสียและความท้าทายของ Stablecoin
แม้ว่า Stablecoin จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียและความท้าทายที่สำคัญ
1.ความเสี่ยงของทรัพย์สินสำรอง: หากไม่มีความโปร่งใส อาจเกิดปัญหาความเชื่อมั่น
2.กฎระเบียบที่เข้มงวด: การเติบโตของ Stablecoin อาจถูกควบคุมโดยหน่วยงานกำกับดูแล
3.การกระจุกตัวของอำนาจ: บางโครงการมีการรวมศูนย์ ซึ่งขัดกับแนวคิดของบล็อกเชน
4.การละเมิดข้อบังคับ: มีความเสี่ยงในการถูกใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
5.ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: ระบบอาจถูกโจมตีทางไซเบอร์หรือเกิดข้อผิดพลาดใน Smart Contract
บทบาทของ Stablecoin ในระดับสากล
Stablecoin ได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากความสะดวกและความเสถียรในการใช้งาน โดยมีการใช้งานในบริบทที่แตกต่างกัน
สหรัฐอเมริกา โดยสหรัฐฯ เป็นผู้นำด้านการใช้ Stablecoin โดยมีเหรียญที่ได้รับความนิยม เช่น USDT (Tether), USDC (USD Coin) ใช้ในวงการ DeFi (Decentralized Finance) และการโอนเงินระหว่างประเทศ นอกจากนี้ มีการใช้ Stablecoin เป็นส่วนหนึ่งของการชำระเงินดิจิทัล เช่น การซื้อสินค้าและบริการ
ยุโรป เช่น เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ใช้ Stablecoin ในการโอนเงินข้ามพรมแดนและการลงทุน ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ มีการสนับสนุนการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัล รวมถึง Stablecoin ที่ผูกกับเงินฟรังก์สวิส
จีน โดยแม้จีนจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวดต่อคริปโต แต่ Stablecoin เช่น USDT ยังถูกใช้อย่างกว้างขวางในตลาดการซื้อขายและการโอนเงินข้ามประเทศ รวมทั้งยังใช้เป็นทางเลือกแทนเงินหยวนสำหรับนักลงทุนบางกลุ่ม
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) อย่าง สิงคโปร์ เป็นประเทศแรกของโลกที่มีการออกกฎระเบียบกำกับดูแล Stablecoin อย่างชัดเจน เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ Stablecoin เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนดิจิทัลที่น่าเชื่อถือ และเป็นสะพานเชื่อมระหว่างระบบเงินตราและสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่ ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย ใช้ Stablecoin ในการโอนเงินระหว่างประเทศและการชำระเงิน โดยแพลตฟอร์มการเงินในภูมิภาค เช่น Binance และ Paxos ช่วยผลักดันการใช้งาน Stablecoin
แอฟริกา โดย Stablecoin เช่น USDT และ USDC ถูกใช้ในประเทศที่มีปัญหาค่าเงินไม่เสถียร เช่น ไนจีเรีย, เคนยา และแอฟริกาใต้ รวมทั้งใช้ในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการเก็บรักษามูลค่า
ละตินอเมริกา ในประเทศที่เผชิญปัญหาเศรษฐกิจ เช่น เวเนซุเอลา และอาร์เจนตินา Stablecoin อย่าง USDT ถูกใช้เพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงินท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นตัวกลางในการชำระเงินข้ามประเทศในเขตที่ธนาคารยังเข้าไม่ถึง
ตะวันออกกลาง อย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย ใช้ Stablecoin เพื่อการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจและผู้ประกอบการ
ประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Markets) Stablecoin ถูกใช้ในประเทศที่ระบบธนาคารยังไม่พัฒนา เช่น บังคลาเทศ, ปากีสถาน และเมียนมา เพื่อเข้าถึงบริการทางการเงิน
ความเหมาะสมในการนำ Stablecoin มาใช้ในไทย
Stablecoin อาจเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในประเทศไทยในบางบริบท ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจะต้องพิจารณาทั้งประโยชน์และข้อจำกัดในการนำมาใช้
ประโยชน์ของ Stablecoin ในบริบทของไทย
1.ลดความผันผวนของค่าเงิน โดย Stablecoin ที่ผูกกับสกุลเงินที่มั่นคง เช่น USD หรือทองคำ สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสกุลเงินดิจิทัลอื่น เช่น Bitcoin หรือ Ethereum ทำให้เหมาะสมกับการใช้ในธุรกรรมประจำวันหรือการเก็บมูลค่า
2.การโอนเงินระหว่างประเทศที่มีต้นทุนต่ำ Stablecoin สามารถช่วยให้การโอนเงินข้ามประเทศรวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับระบบธนาคารดั้งเดิม ซึ่งมีประโยชน์ต่อกลุ่มแรงงานไทยในต่างประเทศที่ต้องส่งเงินกลับบ้าน
3.ส่งเสริมการใช้งานในเศรษฐกิจดิจิทัล Stablecoin อาจช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและลดการพึ่งพาเงินสด
4.ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยเพิ่มความโปร่งใสในธุรกรรม ลดความเสี่ยงจากการทุจริต
ข้อจำกัดและความท้าทายของการใช้ Stablecoin ในไทย
1.ข้อกำหนดทางกฎหมาย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานกำกับดูแลมีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล การนำ Stablecoin มาใช้ต้องสอดคล้องกับกฎหมายและไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางการเงิน
2.ความเชื่อมั่นต่อผู้ใช้ ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับ Stablecoin ยังมีจำกัด การส่งเสริมการรับรู้และการสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบมีความสำคัญ
3.ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล แม้ว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในประเทศไทยจะพัฒนาไปมาก แต่ยังมีช่องว่าง เช่น ความไม่ทั่วถึงของอินเทอร์เน็ตในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน Stablecoin
4.ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี ความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์หรือการผิดพลาดของ Smart Contract ในบล็อกเชนเป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณา
Stablecoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ผสมผสานข้อดีของคริปโตเคอร์เรนซีกับความเสถียรของสินทรัพย์แบบดั้งเดิม ช่วยเสริมสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงิน ลดข้อจำกัดในการโอนเงิน และสนับสนุนการใช้งานในเศรษฐกิจดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การฟอกเงินหรือใช้งานในทางที่ผิด ดังนั้นการใช้งาน Stablecoin ควรมีการกฎระเบียบที่ชัดเจน และได้รับการกำกับดูแลที่เหมาะสม เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้และลดความเสี่ยงต่อระบบการเงินโดยรวม