"พาณิชย์" หนุนไทยลงทุน “สถานีชาร์จไฟฟ้า” หลังรัฐบาลกัมพูชาสั่งบูม"รถอีวี"
พาณิชย์ชี้ช่องผู้ประกอบการไทย จับตลาดรถยนต์ EV ในกัมพูชา มีโอกาสเติบโตสูงหลังรัฐบาลส่งเสริมให้คนหันมาใช้ เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและลดการใช้พลังงาน
น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทำการสำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เข้าถึงตลาดรักสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุดได้รับรายงานจาก นายนิรวัชช์ รังสีกาญจน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา ถึงแนวโน้มการเติบโตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และโอกาสในการขยายตลาดรถ EV ของไทย และการลงทุนทำสถานีชาร์จไฟฟ้าในกัมพูชา เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ทูตพาณิชย์ได้รายงานข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) มีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตสูงในกัมพูชา เพราะไม่เพียงช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน รวมทั้งกำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่รัฐบาลกัมพูชา โดยกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง ได้ริเริ่มแผนงานเพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ EV ในกัมพูชา ตั้งเป้าหมายมีรถยนต์ EV จำนวน 8 แสนคัน พร้อมสถานีชาร์จที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในปี 2030 ซึ่งปัจจุบัน ข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ณ เดือน ต.ค.67 กัมพูชามีรถยนต์ใช้น้ำมันกว่า 7.6 ล้านคัน แบ่งเป็น รถจักรยานยนต์และรถสามล้อ 85% รถยนต์ 10% และรถบัส รถบรรทุก และรถเครื่องจักรกลหนัก 5%
จากปัญหาสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติธรรมชาติเริ่มเกิดขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ ทำให้กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งในกัมพูชาโดยรัฐบาลกัมพูชามีนโยบายสนับสนุนให้ชาวกัมพูชาใช้ยานพาหนะไฟฟ้ามากขึ้น และมีนโยบายปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อลดต้นทุนการผลิต และรัฐบาลกัมพูชายังได้กำหนดเป้าหมายดังกล่าวไว้ในแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว ปี 2050 เพื่อลดปริมาณคาร์บอน และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยการสนับสนุนให้ใช้พลังงานสะอาดในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยลดภาษีนำเข้าสำหรับ EV ลงเหลือ 63% เมื่อเทียบกับรถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 120% เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภครถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
โดยจากความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ดังกล่าว ทำให้มีการจดทะเบียนรถยนต์ EV เพิ่มขึ้น ข้อมูล ณ เดือน ต.ค.2567 มีจดทะเบียนแล้ว 2,513 คัน รถยนต์ EV ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ BYD ของจีน Toyota ของญี่ปุ่น และ Tesla ของสหรัฐ และมีสถานีชาร์จแบตเตอรีรถ EV จำนวน 21 แห่งทั่วประเทศ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า อาจพิจารณาส่งออกสินค้าดังกล่าวมายังกัมพูชา หรืออาจลงทุนด้านสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถ EV ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นในอนาคต