อำนาจไม่ถึง ประธานกสทช.ชี้ กฎหมาย OTT ต้องเป็นวาระชาติ
ปฎิเสธไม่ได้ว่า อิทธิพลของแพลตฟอร์ม OTT (Over-The-Top) เข้ามาดิสทรัปชันในหลานอุตสาหกรรม ทั้งด้านการค้าขายสินค้าที่มีการขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและโซเชียล มีเดียมากขึ้น การใช้ไลน์ในการโทรศัพท์มากกว่าการใช้เบอร์โทรศัพท์ ในขณะที่ค่ายมือถือต้องลงทุนเน็ตเวิร์ก อย่างหนัก เพื่อให้คุณภาพของเน็ตเวิร์กรองรับการใช้งาน และที่สำคัญคือการรับชมคอนเท็นต์ของผู้บริโภคที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบการดูผ่านทีวีดิจิทัล อีกต่อไป
การกำกับดูแล OTT ถูกพูดถึงมาระยะหนึ่งแล้ว ว่าท้ายที่สุดแล้ว หน่วยงานไหนต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ประเด็นแรกที่มีปัญหาก่อนหน้า คือ การทำอย่างไรถึงจะเก็บภาษี OTT ได้ เรื่องนี้กระทรวงการคลังก็มีการออกกฎหมายทำให้ปัจจุบัน OTT ต่างเข้ามาจดทะเบียนนิติบุคคลในประเทศไทยกันแล้ว ส่วนเรื่องการคุมคุณภาพการขายสินค้าในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซผ่าน OTT สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ก็มีกฎหมาย DPS (Digital Platform Service) เพื่อให้แพลตฟอร์มมาจดแจ้งการดำเนินธุรกิจเพื่อป้องกันการขายสินค้าไม่เป็นธรรม และ หากมีการผลิตคอนเท็นต์ไม่เหมาะสมลงโซเชียลมีเดียต่างๆ กระทรวงดีอี ก็มี พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไว้เอาผิดกับผู้กระทำผิดได้
แต่ก็ยังคงมีคำถามว่า แล้วการที่ OTT เข้ามาดิสทรัปธุรกิจค่ายมือถือ เพราะเป็นบริการที่ใช้แบนด์วิธจำนวนมาก ขณะที่ OTT ไม่ได้ลงทุนเน็ตเวิร์กเอง รวมถึงการเข้ามากลายเป็นแพลตฟอร์มแทนที่ทีวีดิจิทัล ที่ผู้คนสามารถดูคอนเท็นต์จากอุปกรณ์ใดก็ได้นั้น
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม จะมีบทบาทอย่างไรในการกำกับดูและ OTT บ้างนั้น
นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกสทช.ให้มุมมองในความคิดเห็นส่วยตัวว่า ปัจจุบัน OTT เช่น YouTube และ Facebook ยังไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. ตามกฎหมาย เพราะกฎหมายระบุชัดว่าบทบาท หน้าที่ของ กสทช. คือ การกำกับดูแล กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม แต่ OTT หากดูนิยามแล้ว ไม่ใช่ "การแพร่ภาพและกระจายเสียง" แบบเข้าถึงทุกคนพร้อมกัน ดูเนื้อหาเหมือนกัน แต่ OTT เป็นลักษณะการนำเสนอคอนเทนต์แบบ "Narrowcasting" คือการให้ผู้ใช้เลือกเนื้อหาด้วยตนเองผ่านอัลกอริทึม จึงแตกต่างจากการแพร่ภาพกระจายเสียงแบบดั้งเดิมที่เน้นการส่งเนื้อหาไปยังผู้ชมในวงกว้าง
ดังนั้นการกำกับดูแล OTT จึงควรผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ รัฐบาลต้องเป็นผู้พิจารณาปรับปรุงกฎหมายหรือออกกฎหมายใหม่ผ่านสภาฯ เพื่อให้อำนาจการกำกับชัดเจนและสอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงต้องดูถึงความเป็นไปได้ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม OTT ที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยประเทศเดียวจะมีอำนาจในการบังคับเขาได้หรือไม่ หรือ ต้องเป็นการจับมือร่วมกันในระดับอาเซียน
Netflix มีรูปแบบการให้บริการแบบสมาชิก (Subscription) เราก็สามารถรู้ได้ว่า เขามีคอนเท็นต์อะไรให้บริการบ้าง ตรงนี้จะง่ายในการกำกับ แต่ YouTube เป็นคอนเท็นต์ที่ไม่รู้มาจากไหนบ้าง คนดูสามารถค้นหาดูได้หมด เราจะดูแลตรงนี้ทั้งหมดไหวหรือไม่
ประธานกสทช.ยกตัวอย่างว่า ในบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส ได้ออกกฎหมายบังคับให้แพลตฟอร์ม OTT ต้องมีเนื้อหาโลคอล อย่างน้อย 25-30% เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในประเทศ นอกจากนี้ยังมีการตั้งเงื่อนไขในการต่อรองกับแพลตฟอร์มต่างๆ อย่าง Netflix และ YouTube เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เหมาะสม
ดังนั้นประเทศที่มีการกำกับดูแล OTT อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ฝรั่งเศสและบางประเทศในยุโรป มีอำนาจการต่อรองสูงกว่า เนื่องจากมีความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรป ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีความร่วมมือระดับภูมิภาคในลักษณะเดียวกัน