สันติธาร ชี้ 4 เรื่องหักมุมโลก คือโอกาสเติบโตเศรษฐกิจไทย แค่ อึด ถึก ทนไม่พอ!
ดร. สันติธาร เสถียรไทยชี้ 4 twist เรื่องหักมุมของโลก AI Climate Change Trade War และTech War เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจจากตะวันตกมาทางตะวันออก จุดหักเหที่ไทยต้องหาโอกาสเติบโตจากจุดแข็งที่มี ยก 4 มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ยุค AI ครองโลก!
เมื่อวันที่ 7กุมภาพันธ์ 2568 ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท ดร. สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้าน FUTURE ECONOMY สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เจ้าของผลงานหนังสือTwists & Turns กล่าวในงานสัมนา เศรษฐกิจไทยความท้าทาย และโอกาส ในปี 2025 (THAILAND ECONOMIC DRIVES 2025) และเนื่องในโอกาส โพสต์ทูเดย์ ก้าวสู่ปีที่ 23 นำเสนอมุมมองในอนาคตของเศรษฐกิจไทยกับ 4 เรื่องหักมุมของโลก (Twist) ที่อาจกลายเป็นโอกาสของประเทศไทยส่งให้เศรษฐกิจโตเกินกว่า 3% ได้
เริ่มจากเหตุการณ์ในปีนี้คือปีงูเล็กที่เปิดปีมาฉกแรงเหลือเกินด้วยเหตุการณ์มากมาย ทั้งเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) AI และ Climate Change
ดร. สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้าน FUTURE ECONOMY สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
4 เรื่องหักมุมที่ประเทศไทยและโลกจะต้องเจอ
ชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องหักมุม หรือ Twist ต่างๆ 4 Twist ที่ประเทศไทยและโลกจะต้องเจอ พร้อมชวนหาโอกาสในความเสี่ยงและปัญหาเหล่านั้น โดยยกประสบการณ์ทำงานในต่างประเทศเกือบ 20 ปีในภาคการเงิน ว่ามีอยู่คำหนึ่งเมื่อพูดถึงเศรษฐกิจไทยเมื่อเกิดความผันผวน และถูกมองว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ก็คือคำว่า "Resilient" แปลว่ามีความอึด ถึก ทนอยู่ในระดับหนึ่ง โดยชวนให้คิดถึงอีกมุมของ Resilient ว่ามันมันดีพอหรือเปล่าสำหรับเศรษฐกิจไทย อาจจะไม่พอก็ได้หากดูตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมา
"จริงอยู่ในแง่ Resilient ว่ามันไม่ตาย ก็อาจจะเลี้ยงไม่ค่อยโตเท่าไหร่เหมือนกัน เมื่อดูจากเศรษฐกิจในยุคที่ผ่านมาโตจากเดิม 7% กว่าแต่พอเจอวิกฤติต้มยำกุ้งลงมาเหลือ 5% หลังจากนั้นเจอวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เหลือ 3% หลังจากวิกฤติโควิดเหลือ 2% กว่า ปีนี้เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้นกว่านั้นคงไม่ใช่แค่ 2% แต่ว่านักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การเจริญเติบโตตามปกติของเศรษฐกิจไทยนั้นอย่างเก่งอยู่ที่ประมาณ 3% ถ้านี่คือปกติของไทยแต่เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านทำไมอินโดนีเซียถึงโต 5-6% ทำไมอินเดียโต 7-8% ทำไมเวียดนาม 6-7%"
Demographic Twist
เราพูดกันเรื่องประชากรและสังคมสูงวัยแต่สิ่งหนึ่งที่ส่งผลชัดเจนมากๆก็คือ การที่เรามีแรงงานน้อยลง จากตัวเลขแรงงานของทั้งประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ยังขยายตัวอยู่ ในขณะที่ของประเทศไทยอยู่ในช่วงหดตัวแล้ว และประชากรของเราหดตัวลงเรื่อยๆ ถ้าที่นี่เป็นโรงงานก็คือจำนวนคนงานน้อยลงเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะรอดก็คือการเพิ่ม Productivity หนึ่งคนต้องทำงานมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่ทุกคนรู้สึกว่า เราเป็นเจนเนอเรชั่นที่ต้องแบก เพราะว่าเราต้องทำมากขึ้น เราต้องห้ามเจ็บห้ามป่วยห้ามตายแถมยังต้องเก่งขึ้นอีกเพื่อความอยู่รอดของประเทศ
โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยก็คือเรื่องของ Growth ว่าเราจะหา Growth Engine หรือ เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่มาจากไหน
ก่อนยก 3 คำที่เป็น Key Word สำคัญแห่งยุค หรือ 3 คำกำอนาคต คำแรกคือ Global หาโอกาสเจริญเติบโตจากโลก ทั้งออกไปสู่โลกและเอาโลกมาสู่เรา คำว่า Technology และคำว่า Sustainability ยกตัวอย่าง 3 เหตุการณ์ที่เป็นปรากฎการณ์ของโลกคือ Global - ทรัมป์ / Technology-Deepseek / และไฟไหม้แคลิฟอร์เนีย – Sustainability และเมื่อมีสิ่งที่ต้องตระหนักแต่ก็มีโอกาสเช่นกัน
Geopolitical Twist - ทรัมป์เอฟเฟ็กต์
Global จะพูดถึงโอกาสจากโลกเราต้องเข้าใจโลกก่อน นั่นก็คือเรื่องของทรัมป์ที่คนมักมองว่าคือต้นเหตุ และตนอยากชวนมองอีกมุมว่าทรัมป์อาจคือปลายเหตุ สิ่งที่ทำให้ทรัมป์ชนะมาจากการเปลี่ยนขั้วอำนาจโลกและระเบียบโลกที่เปลี่ยนไปจากการขึ้นมาของจีนที่จะมาแทนที่อันดับหนึ่งคือสหรัฐ และหากเชื่อคาดการณ์ของโกลด์แมน แซคส์ที่ว่า ในปี 2050 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งคือจีน สหรัฐอเมริกาคืออันดับ 2 อันดับ 3 อินเดีย อันดับ 4 อินโดนีเซีย และอันดับ 5 เยอรมนี แปลว่า 3 ใน 5 ของเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในเอเชีย และอยู่ล้อมรอบประเทศไทย แกนเศรษฐกิจโลกมันเปลี่ยนจากตะวันตกมาเป็นตะวันออก
เมื่อมันมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจหากศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่า มันมีการตีกันตลอดระหว่างเจ้าพ่อที่เป็นขาลงกับเจ้าพ่อที่เป็นขาขึ้น มันเกิดสุญญากาศทางอำนาจที่ทำให้เกิดก๊กเกิดเหล่าเล็กๆ
Trade War จริงๆ ไม่ใช่เรื่องประหลาดเลย ทำให้เกิดปรากฎการณ์ทรัมป์ ไม่ใช่ทรัมป์เป็นต้นเหตุอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเทรดวอร์หรือโลกที่ไร้ระเบียบมันจะกลายเป็นสิ่งที่เราต้องเจอไปอีกนานไม่ว่าประธานาธิบดีจะเป็นใครก็ตาม
ในขณะที่เราจดจ่อว่าเทรดวอร์จะทำให้กำแพงภาษีมากระทบเราไหม อยากให้มองอีกมุมว่า ต่อให้สหรัฐอเมริกาไม่ตั้งกำแพงภาษีกับไทยเลย เราก็โดนหางเลขอยู่ดีแถมโดนแรงด้วย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในจีนคือ จีนมีกำลังการผลิตเกิน หรือ เหลือ ทำให้ต้องระบายสินค้าไปทั่วโลก SME ไทยก็ได้รับผลกระทบแล้ว ในอนาคตและปีนี้เป็นต้นไป สินค้าจีนเข้าอเมริกาไม่ได้ก็ต้องกระจายมาที่ไทยและอาเซียน การแข่งขันที่เข้มข้นอยู่แล้วจะยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก
แต่ในวิกฤตก็ย่อมมีโอกาส สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาคือ การโยกย้ายการลงทุนออกจากจีนมาที่อาเซียนมากขึ้น ปี 2023 เป็นปีแรกที่ FDI (Foreign Direct Investment) เข้ามาที่อาเซียน 6 ประเทศมากขึ้นชนะของจีน และรวมของไทยด้วย
แต่ไทยก็ยังต้องเหนื่อยก็ยังต้องต้อสู้กับเพื่อนบ้านอีก เรายังไม่ใช่พระเอกของหนังที่ชื่อว่าอาเซียน เพราะทุนเข้าไปที่สิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซียอยู่เยอะ ตัวเลขไทยยังไม่สูง แต่น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ไทยโดดเด่นมากและน่าจะฉกฉวยโอกาสมากกว่านี้คือการดึงดูด Talent หรือการดึงดูดคนเก่ง ไม่ใช่แค่ Digital Nomad แต่เป็นผู้บริหารบริษัทการเงิน ผู้บริหารเทคโนโลยี ผู้บริหารกองทุนต่างๆ ด้วย หลายคนอยากอยู่ประเทศไทยเพราะสบาย ในยุคที่ทุนวิ่งตามคนเก่ง
AI Twist เมื่อ Tech WAR รุนแรงเข้มข้นขึ้น
Twist ที่ 3 คือเทคโนโลยีและ AI การเข้าถึงเร็วขึ้นเรื่อยๆ ChatGPT มี 100 ล้านยูสเซอร์ใช้เวลาเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น ในขณะที่เฟซบุ๊กใช้เวลาถึง 4 ปี ทุกคนคิดว่า OpenAI และ ChatGPT คือผู้ชนะแต่เมื่อ Deepseek เข้ามาโดยใช้เงินน้อยกว่าและไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาก ทำให้เกิดความตกใจมากในทุกวงการ ทำให้เดาได้ว่า Technology War จะต้องรุนแรงเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิม และอาจส่งผลให้อเมริกากีดกันจีนในเรื่องชิปมากขึ้นกว่าเดิม อีกด้านหนึ่งการควบคุมกำกับ AI และ AI ที่อันตราย หรือ AI Governance อาจเบาบางลงเพราะทุกประเทศแข่งขันกันเป็นที่หนึ่ง การเข้าถึง AI ง่ายขึ้นกว้างขึ้นถูกขึ้นในสมรภูมิ AI Race
ตอนนี้หลายบริษัทต้องปรับตัว เพราะอุตสาหกรรมของจีนกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขณะที่อเมริกาพยายามกดดันไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูง แต่จีนก็ยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองขึ้นมาได้
ในโลกของ AI มันจะมีผู้แพ้และผู้ชนะ มีมนุษย์และธุรกิจแบ่งได้เป็น 4 สายพันธุ์ โดยในโลกปัจจุบันก่อนมี AI มีมนุษย์อยู่ 2 สายพันธุ์คือ คนธรรมดา และ คนเก่ง (Smart Human) สมาร์ทฮิวแมนชนะฮิวแมนหรือคนธรรมดา ส่วนในยุค AI เพิ่มมาอีก 2 คลาสคือ สมาร์ทยูสเซอร์ (Smart User) คือคนที่อาจไม่ได้เก่งแต่ใช้ AI ได้ ใช้ AI เป็นที่ปรึกษาได้ (จนสามารถเอาชนะเซียนหุ้นได้) และสุดท้ายถ้าคนเก่ง (Smart Human) ใช้ AI ไปด้วยได้ ก็จะกลายเป็น สมาร์ทไซบอร์ก อันดับหนึ่งใน 4 คลาส หรือ สุดยอดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ในยุค AI ครองโลก
สุดท้ายทักษะที่สำคัญที่สุดในยุค AI คือ PR I D E
- Proficiency – ความสามารถในการใช้ AI ได้อย่างเชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพ
- Immunity – ความสามารถในการแยกแยะและป้องกันข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจาก AI รู้เท่าทันโลกออนไลน์
- Depth – ความเชี่ยวชาญเฉพาะในสาขาของตัวเอง ไม่ใช่แค่พึ่งพา AI อย่างเดียว
- Empathy – การเข้าใจและเข้าถึงอารมณ์ของมนุษย์ เพราะ AI ไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ Human Touch หรือ Service Mind คือจุดแข็งของประเทศไทย
Sustainability Twist - ในวันที่ธรรมชาติกลายเป็นจุดอ่อน
ธรรมชาติคือจุดแข็งของประเทศไทย แต่ในวันที่ธรรมชาติกลายเป็นจุดอ่อนเราจะปรับตัวอย่างไร? พร้อมกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการเตือนภัยล่วงหน้า หรือ Early Warning System และระบบต่างๆ เราพร้อมหรือยัง เพราะมันไปผูกกับระบบต่างๆ
Care Economy เทรนด์สำคัญของโลก คือจุดแข็งและโอกาสของไทย
คือหัวใจสำคัญเพราะไปผูกกับธีมหนึ่งที่สำคัญ คือเมื่อนำ Demographic ของโลกมาบวกกับ Sustainability ทำใหเกิดเทรนด์หนึ่งขึ้นมาทั่วโลกเลยคือ Care Economy เกิดขึ้นจากการที่โลกมี Gap คนต้องมีอายุสุขภาพนานขึ้น ดูแลสุขภาพ ดูแลกาย ดูแลจิตใจ ทานอาหารดีระดับ Super Food เป็นธุรกิจ Wellness ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นจุดแข็งของไทย และควรใช้ตรงนี้เป็นโอกาสในอนาคต
4 Twist เรามองมันเป็นความเสี่ยงสีแดง แต่คือโอกาสเช่นกัน
สรุปคือเรามีแค่ Resilient - อึด ถึก ทนยังไม่พอ แต่ต้องมีอีกคำคือ Antifragile ไม่ใช่แค่ล้มแล้วลุกกลับมาอยู่ที่เดิม แต่ล้มแล้วลุกกลับมาแกร่งยิ่งกว่าเดิม เห็นโอกาสในทุก Twist ทำให้นักกีฬาสูงวัยลุกขึ้นมาชนะได้เช่นกัน