วิกฤติ Black Swan ถล่มโลก! ราคาทองส่อพุ่งทะลุเพดาน โอกาส หรือ ความเสี่ยง

วิกฤติ Black Swan ถล่มโลก! ราคาทองส่อพุ่งทะลุเพดาน โอกาส หรือ ความเสี่ยง

27 กุมภาพันธ์ 2568

จับตา "วิกฤติ Black Swan" โผล่ไม่ทันตั้งตัว สงครามเศรษฐกิจลุกลามจนกลายเป็นสงครามโลก วิกฤติเชื้อโรคระบาดหนักเขย่าเศรษฐกิจโลก ดันราคาทองคำพุ่งทะลุจุดสูงสุด "วรุต รุ่งขำ" กูรูทองคำ YLG ชี้ราคาออล ไทม์ ไฮ ลุ้น 3,000-3,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

KEY

POINTS

  • จับตา "วิกฤติ Black Swan" โผล่ไม่ทันตั้งตัว สงครามเศรษฐกิจลุกลา

โลกการลงทุน "Black Swan" หรือ "วิกฤติหงส์ดำ" หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด มีผลกระทบรุนแรง และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดโดยสิ้นเชิง ในอดีตเราเคยเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ส่งแรงสั่นสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจ อาทิ วิกฤติการเงินปี 2008 หรือการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งทะยานขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สถานการณ์ในปี 2568 ด้วยเผชิญสงครามเศรษฐกิจระหว่างมหาอำนาจ เงินเฟ้อที่อาจพุ่งสูง หรือแม้แต่ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจเป็นตัวแปรที่ส่งผลให้ราคาทองคำทะยานขึ้นหรือร่วงลงอย่างรุนแรง นักลงทุนจึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะทุกวิกฤติอาจเป็นโอกาส และทุกโอกาสอาจแฝงไปด้วยความเสี่ยง

"วรุต รุ่งขำ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ให้สัมภาษณ์กับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า แนวโน้มราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยยังมีภาพหรือทิศทางเป็นขาขึ้นต่อในระยะกลางถึงระยะยาว หลายฝ่ายยังมีการปรับประมาณการราคาทองคําเหนือระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ด้วยแรงซื้อจากบรรดาธนาคารกลางต่างๆยังคงซื้อทองคําในฐานะทุนสํารองระหว่างประเทศเพิ่มเติม

อีกทั้งสถานการณ์ความเกี่ยวกับการกลับมาระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังจากห้องวิจัยที่อู่ฮั่นมีการเปิดเผยว่าเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่พบในค้างคาวมีโอกาสติดต่อสู่มนุษย์ได้ความกังวลดังกล่าวเริ่มกลับไปกดดันการลงทุนในตัวสินทรัพย์เสี่ยงและกลับมากระตุ้นแรงซื้อทองคําในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากสงครามเชื้อโรคถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยผลักดันราคาทองคำ

"วิกฤตเศรษฐกิจ" ความวิตกกังวลจากปัจจัยลบต่างๆ หรือ สถานการณ์ความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ถือเป็นรูปแบบของความวิตกกังวลในลักษณะของ "Black Swan" หรือ "วิกฤติหงส์ดำ" และหากวิกฤติโควิด-19 ที่เคยระบาดกลับมาสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจโลกอีกครั้งจะเป็นอีกหนึ่ง "หลุมดำ" กลับเข้ามาซ้ำเติม

ทุกการเปลี่ยนแปลงรุนแรงย่อมสร้างแรงกระเพื่อมความตื่นกลัวและสะท้อนต่อราคาทองคำเพิ่มขึ้น ถามว่ามีโอกาสที่ราคาจะมากกว่า 3,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์หรือไม่ หากเกิดขึ้นจริงแน่นอนว่าย่อมทำได้

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?

แน่นอนว่า เมื่อเกิด "วิกฤติเศรษฐกิจ" หรือ แนวโน้มที่มันเหนือความคาดหมาย อย่างที่คุยกันเรื่อง "Black Swan" ในตอนนี้ทุกคนทราบว่ามีวิกฤติเศรษฐกิจเกี่ยวกับสงครามถ้าวิกฤติมันขยายวงกว้างขึ้น สงครามพัฒนาเป็น "สงครามโลก" หรือมีสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสคล้ายกับช่วงโควิด-19 อีกครั้ง 

ประเด็นดังกล่าวอาจจะกลับมาเป็นปัจจัยกระตุ้นแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้ทําให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ ในทางกลับกัน เมื่อสถานการณ์ต่างๆที่กล่าวข้างต้นคลี่คลายดีขึ้นย่อมส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลงได้เช่นกัน  

"ตอนนี้ทองคํามีปัจจัยบวกกลับเข้ามาซัพพอร์ตหรือกลับเข้ามาหนุนอย่างต่อเนื่อง อย่างแรกเลยราคาจะถูกขายทํากําไรสลับกับลงมาก็คือปัจจัยบวกพวกนี้มันจางหายหรือว่าตลาดซึมซับหรือรับปัจจัยบวกไปหมดแล้ว สถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นสงครามหรือวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อมันเริ่มคลี่คลาย คนไม่กลัว คนก็ขายทองคําทํากําไร แล้วก็โยกเงินไปลงทุนในตัว สินทรัพย์เสี่ยง นอกจากนี้ยังมีประเด็นหรือปัจจัยเกี่ยวกับนโยบายการเงินที่บอกว่าจะผ่อนคลายหรือลดดอกเบี้ยกลับทิศมาเป็นการคุมเข้มนโยบายการเงิน ภาพดังกล่าวจะทําให้ทองคําถูกขายทํากําไรสลับกลับลงมา"

ปัจจุบันตลาดจับตาการเช็คสต็อกทองคําสํารองที่ฟอร์ตน็อกซ์(Fort Knox) ตามที่มีข่าวว่าวุฒิสมาชิก Rand Paul เรียกร้องให้มีการตรวจสอบ ผมมองว่าเป็นการเช็คสต๊อกทองคําที่มีอยู่กว่า 8,000 ตันในคลังของสหรัฐฯเพื่อเป็นการปรับมูลค่าทางบัญชี จากที่ไม่เคยปรับมูลค่าทางบัญชีมาก่อนทําให้สถานะทางการคลังของสหรัฐย่ำแย่

ภาพดังกล่าวทําให้สถานะทางการเงินของสหรัฐหรือการคลังของสหรัฐฯไม่ดีนัก แต่หากมีการเช็กสต็อคทองแล้วปรับสถานะหรือปรับมูลค่าทางบัญชีจาก 40 กว่าเหรียญฯ ขึ้นมาเป็น 2,950-2955 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ สถานะทางการคลังของสหรัฐฯที่ย่ำแย่จะดีขึ้นอย่างชัดเจน 

ภาพสถานะทางการคลังที่ดีจะกลับไปหนุนดอลลาร์ จากนั้นจะกลับมากดดันราคาทองคํา แต่ข่าวดังกล่าวทางรัฐมนตรีการคลังของสหรัฐฯออกมาปฏิเสธ เนื่องด้วยการทําในลักษณะดังกล่าวจะทําให้เกิดความเสี่ยงทางการคลัง เหตุราคาทองคํามีเพิ่มขึ้นและลดลง ถ้าหากปรับสถานะสินทรัพย์ให้มีมูลค่าสูงมากแล้วเกิดราคาทองคําลดลง ความผันผวนหรือสถานะทางการคลังจะด้อยมูลค่าลงทันที สถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงต่อสถานะทางการคลังในฝั่งสหรัฐฯ 

อีกทั้งการกําหนดนโยบายดังกล่าวต้องผ่านสภาคองเกรส ดังนั้นการทําอะไรที่เสี่ยงมากอาจจะมีโอกาสทําหรือเกิดขึ้นได้ยากจึงยังคงเป็นปัจจัยที่ทําให้นักลงทุนไทยเกิดความกังวลจึงส่งผลให้ราคาทองคํามีโอกาสขยับขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่คุณโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯยังมีโอกาสที่อาจจะทําอะไรที่เหนือความคาดหมายได้ ดังนั้นจึงต้องติดตามประเด็นดังกล่าวต่อไป

"นโยบายของทรัมป์เหนือความคาดหมาย การดําเนินนโยบายแบบสุดโต่ง รวดเร็วและรุนแรงทําให้ยากต่อคาดการณ์ อาจสร้างความเสี่ยงและความผันผวนต่อการลงทุนได้ ดังนั้นอย่ามองว่าคุณทรัมป์มาแล้วทอง all time hight ตลอด เพราะในบางนโยบายก็อาจจะกลับมาเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนต่อตลาดหรือกลับมากดดันราคาทองได้เช่นกัน ดังนั้นเราต้องจับตาการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิดและเน้นเล่นรอบ คํานึงถึงปัจจัยพื้นฐาน แรงซื้อแรงขายเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน"

แม้ว่าภาพหรือโมเมนตัมของทองคําจะเป็นเทรนด์ หรือเป็นโมเมนตัมที่เป็นทิศทางขาขึ้นอย่างชัดเจน แต่เราจะเห็นว่าทองคํา all time high หรือทําระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์นั้นกลับมีแรงขายทํากําไรออกมาเช่นกันจึงเกิดความผันผวนของทองคําในระยะสั้น

ดังนั้นนักลงทุนระยะสั้นจึงแนะนำซื้อเล่นรอบที่แนวรับ ขายที่แนวต้านเน้นการจับจังหวะลงทุนเป็นช่วงๆพร้อมกับติดตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิด เนื่องด้วยราคาทองคำไม่ได้ถูก ราคาขึ้นมาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นสามารถซื้อเล่นรอบสั้นได้

"ในระยะสั้นยังมองการอ่อนตัวหรือการย่อตัวลงมาของราคาทองคําแต่ไม่ได้ลึกมาก มองโซนแนวรับของราคาใกล้กับระดับ 2,900-2,907 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 46,100 บาท ถ้าเห็นราคาทองย่อตัวลงมาสามารถเข้าซื้อหวังทํากําไรจากการปรับตัวขึ้นได้ เป้าหมายแนวต้านระยะสั้นมองไว้ที่ 2,955 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นราคาทองคำไทยตอนนี้ราว 46,900 บาท ถ้าผ่านด่านราคาดังกล่าวได้น่าจะเห็นใกล้แถว 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์หรือประมาณ 48,200 บาท"

แต่สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวนั้น มองว่าอาจจะต้องดูเป้าหมายหรือกําหนดเป้าหมายของราคาทองคํา หากราคาทองถูกประเมินเอาไว้ที่ระดับ 3,000 - 3,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ถือว่าเป้าหมายค่อนข้างชัดเจนในการเข้าซื้อแถวแนวรับ 2,900-2,907 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และรอขายทำกำไรที่แนวต้านดังกล่าว 

"ตอนนี้ราคาทองคําขึ้นไป all time high หรือระดับสูงสุดที่ 2,955 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ถือว่าใกล้กับระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ เรายังมองว่าราคาทองคำยังมีอัพไซด์ให้ปรับตัวขึ้นต่อได้แต่ไม่ได้กว้างมากนัก ดังนั้นการเข้าซื้อจึงต้องรอให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงมาอย่างน้อยน่าจะใกล้ระดับ 2,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งจะทำให้มีแก๊ปความกว้างในการวิ่งขึ้นได้ราว 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ถือเป็นจุดที่พอจะทำให้นักลงทุนกล้าเข้าไปเก็บหรือกล้าเข้าไปซื้อได้"

Thailand Web Stat