"Moshi Moshi" ทุ่ม 280 ล้าน ขยาย 40 สาขา สู้ศึกสินค้าจีนตีตลาดไทย
"สง่า บุญสงเคราะห์" ควงลูกสาว "บุณยวีร์ บุญสงเคราะห์" เปิดแผนธุรกิจ Moshi Moshi ปี 2568 ทุ่ม 280 ล้านบาท ขยาย 40 สาขาใหม่ รีโนเวทร้านเดิม สู้ศึกสินค้าจีน
นับตั้งแต่แบรนด์ โมชิ โมชิ (Moshi Moshi) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2559 จนถึงปัจจุบันมีการเติบโตขยายสาขาไปแล้วกว่า 164 สาขา กลายเป็นธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย
ซึ่งปี 2568 ยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มให้ได้อีกราว ๆ 40 สาขา ทำให้เป็นครั้งแรกที่โมชิ โมชิ มีการขยายสาขามากที่สุด ตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์มาก็ว่าได้
แล้วเหตุปัจจัยอะไรทำให้โมชิมองเห็นโอกาสตลาด?
“คุณสง่า บุญสงเคราะห์” พร้อมด้วย “บุณยวีร์ บุญสงเคราะห์” เจ้าของแบรนด์โมชิ เปิดออฟฟิศใหม่ของบริษัท บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ท่าพระ กรุงเทพฯ ต้อนรับสื่อมวลชน เปิดแผนภารกิจขับเคลื่อนแบรนด์ในปี 2568
คุณสง่า ได้ฉายภาพแนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกในปี 2568 ว่า มีแนวโน้มเติบโตจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล
รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะกลับมาใกล้เคียงระดับก่อนโควิด-19 โดยอยู่ที่ประมาณ 39 ล้านคน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายของห้างสรรพสินค้าในเมืองท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกันธุรกิจค้าปลีกอาจต้องเผชิญความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงซึ่งกดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค ต้นทุนดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่สูงขึ้น เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่ต้องการเข้าสู่ตลาด
ทั้งนี้ในภาพของการแข่งขันทางธุรกิจ คุณสง่า ได้เล่าย้อนอดีต ถึงการแข่งขันไปตั้งแต่ ณ วันแรกเริ่มธุรกิจ
“ในวันแรกที่โมชิเปิดตัว ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากแบรนด์ต่างประเทศกว่า 7-8 ราย ส่งผลให้ยอดขายในช่วงแรกยังไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีที่จะครองส่วนแบ่งตลาดให้ได้ กระทั่งสถานการณ์โควิด-19 ทำให้คู่แข่งหลายรายทยอยหายไปจากตลาด เหลือเพียง 2 รายเท่านั้น โมชิจึงสามารถก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ภายในระยะเวลา 3 ปีแรกของการทำธุรกิจ”
คุณสง่า เล่าต่อว่า มาถึงปัจจุบันกลับมีผู้เล่นรายใหม่จากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์จากยุโรป หรือแบรนด์จากจีน
ขณะที่จีนเองก็ยังมีความไม่แน่นอน แต่ได้ยินมาว่ามีความพยายามเข้ามาในไทย รวมถึงช่องทางการขายออนไลน์ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญทำให้การแข่งขันสูง ในขณะที่โมชิเองก็พยายามปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ
แต่เชื่อมั่นว่าจากประสบการณ์ที่อยู่ในธุรกิจนี้มากว่า 30 ปี ของเหล่าผู้บริหาร เชื่อว่าโมชิเข้าใจตลาดในประเทศอย่างลึกซึ้ง สามารถพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยได้ดีกว่าแบรนด์ต่างประเทศ
แม้ว่าการแข่งขันจากแบรนด์จีนและต่างประเทศจะส่งผลกระทบบ้าง แต่โมชิยังคงได้เปรียบจาก “การออกแบบและพัฒนาสินค้าเอง เพราะกว่า 90% สินค้าของเราไม่ใช่การซื้อมาขายไป” ทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่แพ็กเกจจิ้ง สีสัน ดีไซน์ ราคา และกราฟิก ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด และสินค้าคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย
ขณะที่ สินค้าของโมชิเริ่มต้น 5 บาท ไปจนถึงหลัก 1,190 บาท (ส่วนใหญ่สัดส่วน 50% ราคา 20-100 บาท) สามารถแข่งขันกับเชนร้านค้าไลฟ์สไตล์ต่างชาติที่เข้ามาใหม่ได้ และสัดส่วนสินค้าลิขสิทธิ์ของเขาบางชิ้นยังมีราคาสูงกว่าโมชิโมชิด้วยซ้ำ
ถามว่าทำไมทุนต่างชาติสนใจตลาดบ้านเรา?
คุณสง่าบอกว่า ผู้เล่นต่างประเทศ พยายามจะกระจาย ขยายตลาด เพราะว่าจีน หรือยุโรป อาจมองว่าตลาดไลฟ์สไตล์บ้านเรา กำลังโต เป็นที่นิยมอย่างมาก
ทุ่ม 280 ล้าน ขยาย 40 สาขา รีโนเวทสาขาเดิม
คุณสง่า กล่าวต่อว่า สำหรับปีนี้ โมชิ โมชิ คาดว่าจะเติบโต 15-20% โดยมีปัจจัยหนุนจากการขยายสาขาครั้งใหญ่ที่สุดถึง 40 แห่ง โดยเห็นผลลัพธ์ที่ดีจากการขยายสาขาปีที่ผ่านมากว่า 30 สาขา สร้างผลประกอบการที่ดี และเป็นการลงทุนที่มีความคุ้มค่า พร้อมทั้งมุ่งเน้นสร้างยอดขายจากร้านค้าเดิมให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งอัตราการเติบโตของรายได้มาจากการเติบโตของยอดขายจากร้านสาขาใหม่ รวมถึงอัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ซึ่งในปีนี้จะรักษาให้เท่ากับปี 2567 ที่ 3-5%
ปีนี้มีความตั้งใจจะลงทุนด้วยงบฯ 280 ล้านบาท ขยายร้านใหม่ 40 สาขา และรีโนเวทร้านค้าเดิมมากกว่า 50 สาขา และปีนี้มีแผนขยายพื้นที่คลังสินค้า เดิมพื้นที่คลังสินค้า ขยายพื้นที่ 3000 ตรม.ปรับปรุงซอฟต์แวร์ ใหญ่ ๆ เป็นต้น
เน้นการขยายสาขาในรูปแบบที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และ Hyper Market รวมถึงสาขา Standalone 2 รูปแบบ คือ สาขาใกล้มหาวิทยาลัย เพื่อเข้าถึงกลุ่มนักศึกษาและชุมชนโดยรอบ และ Pilot Project สาขาขนาดใหญ่พื้นที่ 300 ตารางเมตรขึ้นไปในเขตชุมชน เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายและสร้างศูนย์กลางการจับจ่ายในพื้นที่พร้อมมุ่งเน้นการขยายสาขาในพื้นที่ที่มีศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ
นอกจากการขยายสาขาในประเทศไทย ได้วางแผนรุกไปในตลาดอาเซียนภายในปี 2568 เช่นกัน โดยอยู่ระหว่างการศึกษาใน 2 ประเทศ และอาจเป็นการร่วมลงทุนกับพันธมิตร
จัดทำระบบสมาชิก เป็น Top of Mind ลูกค้า
ขณะที่ บุณยวีร์ บุญสงเคราะห์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์ธุรกิจและการปฏิบัติการ MOSHI กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากขยายสาขา และเพิ่มช่องทางจำหน่าย โมชิ โมชิ จะมีการออกสินค้าใหม่กว่า 1,000 รายการต่อเดือน จากปัจจุบันมีจำนวนสินค้ารวมแล้วมากกว่า 20,000 รายการ
โดยผลักดันทั้งกลุ่มสินค้า License และสินค้าทั่วไป พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ผ่านกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันที่โดดเด่นด้วยการออกแบบสวยงาม ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม
นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินกลยุทธ์ Collaboration จับมือกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ เช่น เจ้าของลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์แบรนด์ดัง อาทิ Sanrio, Disney, Snoopy เป็นต้น
รวมถึงการคอลแลปส์กับศิลปินที่เป็นที่นิยมชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน K-POP และศิลปินไทย ในการพัฒนาและออกสินค้าร่วมกัน เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและดีไซน์ ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้า และสร้างบรรยากาศภายในร้านค้าด้วยการจัดวางที่น่าดึงดูด รวมถึงได้เริ่มจัดทำระบบสมาชิก (Member)
ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 6 แสนยูสเซอร์ นับเป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้รับรู้ความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้นตลอดจนการสร้าง Branding โมชิโมชิ ให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นและยอมรับในคุณภาพของผลิตภัณฑ์
ภายใต้เป้าหมายสูงสุดของ โมชิ โมชิ คือ การเป็น Shopping Destination ที่ลูกค้าต้องแวะมาเยี่ยมชมและเลือกซื้อ ขณะเดียวกัน พร้อมก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ที่สามารถครองใจของผู้บริโภค (Top of Mind) ได้
อย่างไรก็ตาม คุณสง่า ทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้ธุรกิจเราก็เหมือนวิ่งบนสายพาน ไม่สามารถหยุดได้เลย การแข่งขันในตลาดไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะสินค้าที่ สวย ราคาถูก แต่ถ้าไม่มีคุณภาพ ก็ไปต่อไม่ได้ ขณะเดียวกัน หากสินค้ามีคุณภาพดีแต่ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ก็ไม่มีใครซื้อ
ความท้าทายอยู่ที่การสร้างสมดุลให้ครบทุกองค์ประกอบ สวยงาม คุณภาพดี ราคาเหมาะสม และตรงใจผู้บริโภค นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทีมงานต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าใหม่ตอบโจทย์ตลาดได้จริง