นายกฯ สิงคโปร์ เตือนรับมือโลกไร้เสถียรภาพ สิ้นสุดยุคค้าเสรี
“บทเรียนจากสิงคโปร์ เมื่อผู้นำ "นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง" ออกโรงเตือนประชาชนให้เตรียมใจรับยุคหลังโลกาภิวัตน์ ขณะที่รัฐบาลไทยยังคงบอกว่า ‘ไม่ต้องห่วง’
ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายใหม่จากนโยบายภาษีการค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งล่าสุดประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากบางประเทศรวมถึงไทยสูงถึง 36% ทางฝั่งรัฐบาลไทยกลับออกมาระบุว่า "ไม่มีอะไรน่าห่วง" และว่า "เตรียมรับมือไว้แล้ว" ทำให้หลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า เราพร้อมจริงหรือ? หรือแค่พูดเพื่อกลบความไม่มั่นใจ?
ตัดภาพไปที่ประเทศเล็ก ๆ แต่ทรงพลังในด้านเศรษฐกิจระดับโลกอย่างสิงคโปร์ เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) ได้ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์ความยาวเพียง 5 นาที แต่มีน้ำหนักเท่ากับหนังสือเตือนภัยระดับชาติ ท่ามกลางบรรยากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หว่องไม่ได้เลือกที่จะปลอบใจประชาชน แต่กลับเลือกพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา เตือนให้ทุกคนเตรียมตัว เตรียมใจ และยอมรับว่าโลกยุคใหม่กำลังมา—และมันจะไม่ง่ายเลย
นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) ของสิงคโปร์
เฟซบุ๊กดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผอ. IMC Institute ได้วิเคราะห์ถึงประเด็นดังกล่าว โดยสรุปสาระสำคัญที่น่าสนใจออกมาดังนี้
10 ประเด็นสำคัญจากคำกล่าวของนายกฯ หว่อง ที่คนไทยควรฟังและไตร่ตรอง
1.จุดสิ้นสุดของยุคโลกาภิวัตน์แบบมีระเบียบ
หว่องกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในครั้งนี้เป็นสัญญาณว่าระบบเศรษฐกิจโลกที่เคยขับเคลื่อนด้วยหลักการเสรีภาพทางการค้าและกฎระเบียบที่มีองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นศูนย์กลาง กำลังจะถึงจุดสิ้นสุด อเมริกาไม่ได้เป็นผู้นำที่ผลักดันโลกาภิวัตน์แบบเก่าอีกต่อไป แต่กลับหันมาใช้นโยบายปกป้องตนเอง และเลือกตั้งกำแพงภาษีเป็นรายประเทศ
2.การละทิ้งระบบพหุภาคี
สหรัฐฯ หันมาใช้นโยบายภาษีแบบทวิภาคี—เจรจากับแต่ละประเทศตามผลประโยชน์ของตนเอง และตีความการค้าระหว่างประเทศในแบบที่ละเลยกรอบของ WTO อย่างสิ้นเชิง หว่องเตือนว่านี่คือ "การปฏิเสธระบบโลก" และเป็นการเปิดประตูสู่ยุคของ “การแข่งขันทางผลประโยชน์” มากกว่าความร่วมมือ
3.สิงคโปร์ได้รับผลกระทบโดยตรง แม้ในอัตราที่ต่ำ
แม้สหรัฐฯ จะกำหนดภาษีสินค้าจากสิงคโปร์ในอัตราเพียง 10% แต่หว่องไม่มองข้าม เขารู้ดีว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น ผลกระทบทางตรงอาจดูจำกัดในวันนี้ แต่ผลกระทบทางอ้อมในระยะยาว—เช่นบรรยากาศการค้าทั่วโลกที่ถดถอย—จะซัดสิงคโปร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
4.ประเทศเล็กจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
หว่องเตือนว่าหากประเทศอื่น ๆ ทำตามรอยสหรัฐฯ และละทิ้งกฎระเบียบของ WTO เพื่อหันไปสร้างข้อตกลงการค้าแบบแยกส่วน ประเทศเล็กอย่างสิงคโปร์ หรือแม้แต่ประเทศไทย จะถูกบีบ ถูกกีดกัน และเสี่ยงที่จะถูก “หลงลืม” จากการค้าโลก
5.แนวโน้มการเกิดสงครามการค้าโลกกำลังเพิ่มขึ้น
หว่องไม่ลังเลที่จะเตือนว่า โลกกำลังเสี่ยงเข้าสู่สงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อหลายประเทศเริ่มออกมาตรการโต้ตอบกันไปมา แม้สิงคโปร์จะเลือกไม่ใช้มาตรการตอบโต้ในตอนนี้ แต่เขาเห็นว่า "ความเสี่ยงกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง"
6.ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสิงคโปร์
ภาษีที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนการค้าเพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนส่งผลให้นักลงทุนชะลอตัว โลกจะเผชิญการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และสำหรับประเทศที่พึ่งพาการค้าอย่างหนักเช่นสิงคโปร์ ผลกระทบจะรุนแรงกว่าหลายประเทศ
7.เปรียบเทียบกับทศวรรษ 1930
หว่องเปรียบสถานการณ์ปัจจุบันกับยุค 1930 ที่การตั้งกำแพงภาษีนำไปสู่สงครามการค้า ก่อนจะบานปลายเป็นความขัดแย้งทางอาวุธ และในที่สุดก็ปะทุเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นคำเตือนที่หนักแน่นว่า “ถ้าเราละเลย เราอาจเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด”
8.การเสื่อมถอยของสถาบันโลก
หว่องเน้นย้ำว่า สถาบันระหว่างประเทศที่เคยค้ำจุนระเบียบโลกกำลังอ่อนแอลงทุกที ประเทศต่าง ๆ หันมาใช้ "อำนาจ" และ "แรงกดดัน" แทนหลักการและกฎเกณฑ์ เขาเตือนว่า โลกกำลังเดินสู่ยุคที่ผลประโยชน์ส่วนตัวนำหน้าและจริยธรรมถอยหลัง
9.การเตรียมความพร้อมของสิงคโปร์
สิงคโปร์ไม่ได้เพียงพูดถึงปัญหา แต่เตรียมรับมืออย่างจริงจัง—ทั้งการสร้างความเข้มแข็งภายใน สะสมเงินทุนสำรอง สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศที่มีแนวคิดคล้ายกัน และสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ
10.เตือนใจประชาชนให้ "เตรียมใจ"
หว่องไม่ได้พูดเพื่อให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่เตือนให้ทุกคน “เตรียมใจ” ว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ความมั่นคงในอดีตอาจไม่กลับมาอีก เขาสรุปอย่างชัดเจนว่า
“อย่าปล่อยให้ความเคยชินทำให้เรานิ่งนอนใจ เราต้องพร้อมรับความไม่แน่นอนที่กำลังจะเกิดขึ้น”