นายกฯ สิงคโปร์ เตือนรับมือโลกไร้เสถียรภาพ สิ้นสุดยุคค้าเสรี

05 เมษายน 2568

“บทเรียนจากสิงคโปร์ เมื่อผู้นำ "นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง" ออกโรงเตือนประชาชนให้เตรียมใจรับยุคหลังโลกาภิวัตน์ ขณะที่รัฐบาลไทยยังคงบอกว่า ‘ไม่ต้องห่วง’

ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายใหม่จากนโยบายภาษีการค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งล่าสุดประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากบางประเทศรวมถึงไทยสูงถึง 36% ทางฝั่งรัฐบาลไทยกลับออกมาระบุว่า "ไม่มีอะไรน่าห่วง" และว่า "เตรียมรับมือไว้แล้ว" ทำให้หลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า เราพร้อมจริงหรือ? หรือแค่พูดเพื่อกลบความไม่มั่นใจ?

 

ตัดภาพไปที่ประเทศเล็ก ๆ แต่ทรงพลังในด้านเศรษฐกิจระดับโลกอย่างสิงคโปร์ เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) ได้ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์ความยาวเพียง 5 นาที แต่มีน้ำหนักเท่ากับหนังสือเตือนภัยระดับชาติ ท่ามกลางบรรยากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หว่องไม่ได้เลือกที่จะปลอบใจประชาชน แต่กลับเลือกพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา เตือนให้ทุกคนเตรียมตัว เตรียมใจ และยอมรับว่าโลกยุคใหม่กำลังมา—และมันจะไม่ง่ายเลย

 

นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) ของสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) ของสิงคโปร์

 

เฟซบุ๊กดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผอ. IMC Institute  ได้วิเคราะห์ถึงประเด็นดังกล่าว โดยสรุปสาระสำคัญที่น่าสนใจออกมาดังนี้

 

10 ประเด็นสำคัญจากคำกล่าวของนายกฯ หว่อง ที่คนไทยควรฟังและไตร่ตรอง

1.จุดสิ้นสุดของยุคโลกาภิวัตน์แบบมีระเบียบ
หว่องกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในครั้งนี้เป็นสัญญาณว่าระบบเศรษฐกิจโลกที่เคยขับเคลื่อนด้วยหลักการเสรีภาพทางการค้าและกฎระเบียบที่มีองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นศูนย์กลาง กำลังจะถึงจุดสิ้นสุด อเมริกาไม่ได้เป็นผู้นำที่ผลักดันโลกาภิวัตน์แบบเก่าอีกต่อไป แต่กลับหันมาใช้นโยบายปกป้องตนเอง และเลือกตั้งกำแพงภาษีเป็นรายประเทศ

 

2.การละทิ้งระบบพหุภาคี
สหรัฐฯ หันมาใช้นโยบายภาษีแบบทวิภาคี—เจรจากับแต่ละประเทศตามผลประโยชน์ของตนเอง และตีความการค้าระหว่างประเทศในแบบที่ละเลยกรอบของ WTO อย่างสิ้นเชิง หว่องเตือนว่านี่คือ "การปฏิเสธระบบโลก" และเป็นการเปิดประตูสู่ยุคของ “การแข่งขันทางผลประโยชน์” มากกว่าความร่วมมือ

 

3.สิงคโปร์ได้รับผลกระทบโดยตรง แม้ในอัตราที่ต่ำ
แม้สหรัฐฯ จะกำหนดภาษีสินค้าจากสิงคโปร์ในอัตราเพียง 10% แต่หว่องไม่มองข้าม เขารู้ดีว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น ผลกระทบทางตรงอาจดูจำกัดในวันนี้ แต่ผลกระทบทางอ้อมในระยะยาว—เช่นบรรยากาศการค้าทั่วโลกที่ถดถอย—จะซัดสิงคโปร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

4.ประเทศเล็กจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
หว่องเตือนว่าหากประเทศอื่น ๆ ทำตามรอยสหรัฐฯ และละทิ้งกฎระเบียบของ WTO เพื่อหันไปสร้างข้อตกลงการค้าแบบแยกส่วน ประเทศเล็กอย่างสิงคโปร์ หรือแม้แต่ประเทศไทย จะถูกบีบ ถูกกีดกัน และเสี่ยงที่จะถูก “หลงลืม” จากการค้าโลก

 

5.แนวโน้มการเกิดสงครามการค้าโลกกำลังเพิ่มขึ้น
หว่องไม่ลังเลที่จะเตือนว่า โลกกำลังเสี่ยงเข้าสู่สงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อหลายประเทศเริ่มออกมาตรการโต้ตอบกันไปมา แม้สิงคโปร์จะเลือกไม่ใช้มาตรการตอบโต้ในตอนนี้ แต่เขาเห็นว่า "ความเสี่ยงกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง"

 

6.ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสิงคโปร์
ภาษีที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนการค้าเพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนส่งผลให้นักลงทุนชะลอตัว โลกจะเผชิญการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และสำหรับประเทศที่พึ่งพาการค้าอย่างหนักเช่นสิงคโปร์ ผลกระทบจะรุนแรงกว่าหลายประเทศ

 

7.เปรียบเทียบกับทศวรรษ 1930
หว่องเปรียบสถานการณ์ปัจจุบันกับยุค 1930 ที่การตั้งกำแพงภาษีนำไปสู่สงครามการค้า ก่อนจะบานปลายเป็นความขัดแย้งทางอาวุธ และในที่สุดก็ปะทุเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นคำเตือนที่หนักแน่นว่า “ถ้าเราละเลย เราอาจเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด”

 

8.การเสื่อมถอยของสถาบันโลก
หว่องเน้นย้ำว่า สถาบันระหว่างประเทศที่เคยค้ำจุนระเบียบโลกกำลังอ่อนแอลงทุกที ประเทศต่าง ๆ หันมาใช้ "อำนาจ" และ "แรงกดดัน" แทนหลักการและกฎเกณฑ์ เขาเตือนว่า โลกกำลังเดินสู่ยุคที่ผลประโยชน์ส่วนตัวนำหน้าและจริยธรรมถอยหลัง

 

9.การเตรียมความพร้อมของสิงคโปร์
สิงคโปร์ไม่ได้เพียงพูดถึงปัญหา แต่เตรียมรับมืออย่างจริงจัง—ทั้งการสร้างความเข้มแข็งภายใน สะสมเงินทุนสำรอง สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศที่มีแนวคิดคล้ายกัน และสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ

 

10.เตือนใจประชาชนให้ "เตรียมใจ"
หว่องไม่ได้พูดเพื่อให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่เตือนให้ทุกคน “เตรียมใจ” ว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ความมั่นคงในอดีตอาจไม่กลับมาอีก เขาสรุปอย่างชัดเจนว่า

 

“อย่าปล่อยให้ความเคยชินทำให้เรานิ่งนอนใจ เราต้องพร้อมรับความไม่แน่นอนที่กำลังจะเกิดขึ้น”

Thailand Web Stat