"มหากิจศิริ" โต้กลับเนสท์เล่ 8 ข้อ ให้ข้อมูลบิดเบือน กลั่นแกล้งบริษัทไทย

17 เมษายน 2568

ไม่จบง่าย ๆ "มหากิจศิริ" โต้กลับเนสท์เล่ 8 ข้อเดือด หลังยุติเส้นทางพันธมิตร "เนสกาแฟ" ชี้ให้ข้อมูลบิดเบือน เห็นต่างทางธุรกิจควรหย่าและแยกทางกัน ไม่ใช่ฆ่าลูกทิ้ง ทำลายบริษัทคนไทย

ก่อนหน้านี้ เนสเล่ท์ได้ออกแถลงการณ์ 7 ข้อถึงความสัมพันธ์กับตระกูลมหากิจศิริ รวมถึงให้คำยืนยันว่าจะยังคงผลิตเนสกาแฟต่อเนื่อง

https://www.posttoday.com/smart-sme/722572

 

ล่าสุด ฝั่งครอบครัวมหากิจศิริ ได้ออกมาโต้แย้งทุกข้อ ดังนี้

 

1.อยากสรุปเรื่องราวระหว่างเนสท์เล่กับตระกูลมหากิจศิริว่าเป็นอย่างไร?

 

เนสท์เล่ตอบ : เนสท์เล่เป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ เนสท์เล่ร่วมลงทุนกับฝั่งคุณประยุทธ มหากิจศิริ ทำโรงงานชื่อ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) เพื่อผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย คุณประยุทธและครอบครัวถือหุ้นครึ่งหนึ่งในบริษัท QCP ทางเนสท์เล่ก็ถือหุ้นอีกครึ่งหนึ่ง และเป็นคนบริหารจัดการเรื่องการผลิต การจัดจำหน่าย และทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟเองในประเทศไทย

 

มหากิจศิริโต้แย้ง : ถึงแม้สูตรกาแฟกับเทคโนโลยีการผลิตจะเป็นของเนสท์เล่เองทั้งหมด แต่ก็เป็นเงินที่บริษัท QCP จ่ายให้เนสท์เล่เป็นเงินหลายหมื่นล้านบาทในระยะเวลาที่ผ่านมา
 

 

 

พอบริษัท QCP หมดอายุสัญญากับเนสท์เล่ ทางเนสท์เล่ก็ไม่ได้ต่อสัญญา เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ศาลอนุญาโตตุลาการสากลก็ตัดสินว่า เนสท์เล่เลิกสัญญาร่วมทุน (Joint Venture) กับคุณประยุทธ มหากิจศิริเพียงคนเดียว


ฝั่งมหากิจศิริ โต้แย้ง : เนสท์เล่เลิกสัญญาร่วมทุน (Joint Venture) กับคุณประยุทธ มหากิจศิริเพียงคนเดียว (ซึ่งไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายไทย) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณประยุทธ มหากิจศิริ ถือหุ้นเพียง 3% เท่านั้น โดยไม่มีผลผูกพัน คุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ ซึ่งถือหุ้นใหญ่สุด 47% และยังไม่ผูกพันบริษัท QCP ด้วย 100%

 

สิ่งที่เนสท์เล่พาดพิงจากข้อพิพาทกับคุณประยุทธ์ ในเรื่องเลิกสัญญานี้ จึงเป็นการบิดเบือนอย่างไม่น่าให้อภัย

 

เพื่อปกป้องคุ้มครองความถูกต้อง คุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ และครอบครัว จึงฟ้องคดีต่อศาลแพ่งมีนบุรี เพื่อคุ้มครองและขอความเป็นธรรม

 

โดยมีคำสั่งห้ามเนสท์เล่ ซึ่งยังถือหุ้นร่วมกันอยู่ 50:50 % เท่ากัน “ไม่ให้ผลิต ห้ามขาย ห้ามนำเข้าสินค้า เนสกาแฟมาจำหน่ายในประเทศไทย” เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ทำให้เนสท์เล่ไม่สามารถนำเข้าสินค้าเนสกาแฟจากต่างประเทศมาแย่งอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทยได้

 

ยิ่งกว่านั้น เนสท์เล่ไม่เคารพคำสั่งศาลไทย โดยมีการดิ้นรนด้วยความโลภ และไปฟ้องศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 และมีการบิดเบือนเพื่อให้สังคมเข้าใจผิดอีกว่า “ให้เนสท์เล่กลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟได้ตามปกติ (ซึ่งศาลท่านไม่ได้มีคำสั่งเช่นนั้น)”

 

2.เนสท์เล่จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปอย่างไร?

 

เนสท์เล่ตอบ : เนสท์เล่ จะทำทุกวิถีทางในทางกฎหมายเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกอบการธุรกิจ ผู้บริโภค และเกษตรกรที่เราทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด จะไม่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของผู้ถือหุ้นบริษัท QCP ดังกล่าว

 

มหากิจศิริ โต้แย้ง : เนสท์เล่ มุ่งทำทุกวิถีทางในทางกฎหมาย เพื่อให้มากอบโกยผลประโยชน์จากประเทศไทยเรา โดยการนำเข้ากาแฟจากต่างชาติมาขายในประเทศไทยก่อน เพื่อผลประโยชน์เข้าเนสท์เล่คนเดียว 100% ได้ทันที

 

3.กรณีของเนสท์เล่กับตระกูลมหากิจศิริ เหมือนกับกรณีเจ้าของแบรนด์ดังและผู้ผลิตในประเทศไทยที่ยกเลิกสัญญากันในอดีตใช่หรือไม่?

 

เนสท์เล่ตอบ : มีข้อแตกต่างกันหลายประการ ซึ่งก็คือ เนสท์เล่ เป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว ตระกูลมหากิจศิริถือหุ้นครึ่งหนึ่งในบริษัท QCP ที่ทำหน้าที่ผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย ทางเนสท์เล่ก็ถือหุ้นอีกครึ่งหนึ่ง และเป็นคนบริหารจัดการเรื่องการผลิต การจัดจำหน่าย และทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟเองในประเทศไทย สูตรกาแฟกับเทคโนโลยีการผลิต ก็เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่ และทีมงานในสายการผลิตและการบริหารงานทั้งหมดก็เป็นทีมงานของเนสท์เล่


มหากิจศิริโต้แย้ง : แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ “เป็นการใช้เงินของบริษัท QCP ในการได้มาทั้งสิ้น"


4.เนสท์เล่จะลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในประเทศไทยใช่ไหม และจะสร้างที่ไหน


เนสท์เล่ตอบ : เรามีความมุ่งมั่นที่จะผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย แต่เรายังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ในขณะนี้

 

มหากิจศิริโต้แย้ง : เพราะทางเนสท์เล่ กำลังหาช่องทางที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดให้เป็นของเนสท์เล่

 

5.การที่เนสท์เล่ออกแถลงการณ์ว่า จะต้องหยุดส่งสินค้าชั่วคราว เป็นความตั้งใจของการตลาดเพื่อสร้างกระแสและขึ้นราคาสินค้าหรือไม่?

 

เนสท์เล่ตอบ : ไม่ใช่เลย ทางเนสท์เล่ จำเป็นต้องหยุดส่งผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เนื่องจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรี เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568

 

มหากิจศิริโต้แย้ง: ที่จริงแล้ว เนสท์เล่ ไม่มีความห่วงใยผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกรไทย และคู่ค้า ซัพพลายเออร์ ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของศาลแต่อย่างไร


6.คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรีไม่มีผลบังคับใช้แล้วหรือ?

 

เนสท์เล่ตอบ : เรายึดตามคำตัดสินล่าสุดจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ที่ยืนยันว่า บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” ในประเทศไทย ทำให้เนสท์เล่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟในประเทศไทยได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568


มหากิจศิริโต้แย้ง : คำชี้แจงดังกล่าว เป็นการบิดเบือนอย่างน่าละอายใจมาก ที่กล่าวว่า เนสท์เล่ สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสการแฟในประเทศไทยได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 ถือเป็นการบิดเบือนของเนสท์เล่และไม่เคารพคำสั่งศาลด้วย


7.ทำไมบริษัท QCP ไม่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้อีก?

 

เนสท์เล่ตอบ : เพราะสัญญาระหว่าง เนสท์เล่กับบริษัท QCP สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายตามคำตัดสินจากศาลอนุญาโตตุลาการสากล 

 

ดังนั้น บริษัท QCP จึงไม่มีสิทธิในการผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอีกต่อไป หลังจากนั้นมา เนสท์เล่ก็ได้จัดหาผลิตภัณฑ์เนสกาแฟเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคไทย

 

ด้วยการว่าจ้างบริษัทในประเทศไทยให้ช่วยผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ พร้อมทั้งนำเข้าผลิตภัณฑ์บางส่วนจากประเทศอื่นเป็นการชั่วคราว จนกว่าเนสท์เล่จะสามารถกลับมาดำเนินการผลิตเนสกาแฟในประเทศได้อีกครั้ง


มหากิจศิริโต้แย้ง : เป็นการบิดเบือนความจริงตามที่กล่าวมาแล้ว


8. มหากิจศิริ (เพิ่มเติม)

 

ที่เลวร้ายที่สุด เนสท์เล่ต้องการทำลายธุรกิจกาแฟ ที่ครอบครัวมหากิจศิริ สร้างมากว่า 50 ปีให้กลายเป็น 0 ทั้งๆที่เนสท์เล่ก็ร่วมถือหุ้นอยู่ด้วย 50% เพื่อมุ่งผลประโยชน์โดยการนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศมาจำหน่ายแทน

 

เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปเป็นของเนสท์เล่ฝ่ายเดียว 100% ถือเป็นการรังแกคนไทย และเอาเปรียบคนไทย และไม่ชอบธรรม ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง

 

ความเป็นจริง ในเมื่อเนสท์เล่และมหากิจศิริมีความเห็นต่างในเชิงธุรกิจ ก็หย่ากันได้ แยกทางกันได้ แต่จะฆ่าลูกไม่ได้


ในกรณีนี้ เนสท์เล่เลิกสัญญาแล้ว ต้องการฆ่าลูกทิ้ง โดยมีการไปฟ้องให้บริษัท QCP ล้มละลาย เป็นการทำลายทรัพย์สินของคนไทย

 

ทั้งๆ ที่บริษัท QCP มีทรัพย์สินอยู่ร่วมหมื่นกว่าล้านบาท และมีเงินสดอยู่ 5,000 กว่าล้านบาท จะฟ้องให้บริษัท QCP ล่มละลายได้อย่างไร ถือเป็นการจงใจกลั่นแกล้งบริษัทในประเทศไทย


ที่จริงแล้ว ควรให้บริษัท QCP ผลิตเนสกาแฟต่อ หรือผลิตกาแฟยี่ห้อ QCP เองก็ได้ เพื่อสนองความต้องการของตลาดในราคาที่ถูกลงได้ เพราะไม่ต้องจ่ายค่าชื่อสินค้า เนสกาแฟอีกต่อไป
 

Thailand Web Stat