Hermes แซง LVMH ขึ้นแท่นบริษัท Luxury มูลค่าสูงสุดในโลก
Hermes แบรนด์เครื่องหนังชั้นนำจากฝรั่งเศส เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ พลิกแซง LVMH ขึ้นแท่นบริษัท Luxury มูลค่าสูงสุดในโลก!
Hermes แบรนด์เครื่องหนังชั้นนำจากฝรั่งเศส ได้เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่! ด้วยการแซงหน้าอาณาจักรสินค้าหรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง LVMH จนขึ้นครองตำแหน่งบริษัทสินค้าหรูที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในยุโรป
สำนักข่าว CNN รายงานว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสืบเนื่องจาก LVMH ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นตัวชี้วัดสำคัญของอุตสาหกรรมสินค้าหรู ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่น่าผิดหวังอย่างมาก จนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ยอดขายของ LVMH ในไตรมาสแรกปรับตัวลดลง 3% ซึ่งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่เคยมองว่าจะเติบโต 2% โดยผลประกอบการที่น่าผิดหวังนี้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มปีที่ยากลำบากสำหรับบริษัทสินค้าหรู
LVMH ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์หรูชั้นนำระดับโลกอย่าง Louis Vuitton, Dior, Tiffany & Co. และ Sephora รายงานยอดขายไตรมาสแรกต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ค่อนข้างมาก
โดยปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าความงามและคอนญัก ขณะที่ตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกลุ่มบริษัท ยังคงแสดงสัญญาณความซบเซาอย่างต่อเนื่อง
ผลประกอบการที่น่าผิดหวังทำให้ราคาหุ้น LVMH ปรับตัวลดลงกว่า 7% ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดเหลือ 2.46 แสนล้านยูโร
ขณะที่ Hermès ซึ่งราคาหุ้นลดลงเพียงเล็กน้อยแค่ 0.3% กลับมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.47 แสนล้านยูโร และสามารถแซงหน้า LVMH ขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่าได้ในที่สุด
ตามการวิเคราะห์ของ Jelena Sokolova นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Morningstar ความเคลื่อนไหวของมูลค่าตลาดนี้ชี้ให้เห็นถึง "ผลการดำเนินงานและมุมมองของนักลงทุนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน" ต่อ LVMH และ Hermes
LVMH มีสินค้าและฐานลูกค้าหลากหลายกว่า ซึ่งรวมถึงกลุ่มชนชั้นกลาง จึงมีความเปราะบางต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
สวนทางกับ Hermes ซึ่งมีฐานลูกค้าที่ล่ำซำกว่าจากสินค้าไอคอนิกอย่างกระเป๋า Birkin และ Kelly ทำให้สามารถรับมือกับภาวะตลาดขาลงได้ดีกว่า
ทั้งยังมีปัจจัยเสริมคือ Hermes มีนโยบายควบคุมการผลิตที่เข้มงวดมาก โดยจำกัดการเพิ่มจำนวนสินค้าไว้ที่ประมาณ 6-7% ต่อปี
ความหวังที่นักลงทุนเคยมีต่อการฟื้นตัวของตลาดสินค้าหรูในปีนี้ถูกบั่นทอนลงจากความตึงเครียดทางการค้าและเศรษฐกิจโลกถดถอยจากมาตรการภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์
ส่งผลให้การฟื้นตัวช่วงสั้นๆ ในปลายปี 2024 ถูกมองว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว เห็นได้จากยอดขายธุรกิจแฟชั่นและเครื่องหนังของ LVMH (Louis Vuitton, Dior) กลับมามียอดขายลดลงอีกครั้งถึง 5% ตามการสังเกตของ Deutsche Bank
ทั้งนี้ ภาพรวมหุ้นกลุ่มสินค้าหรูปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม โดย LVMH, Kering และ Burberry ลดลง 14% เท่ากัน ส่วน Richemont ลดลง 13%
และ Hermes ลดลงน้อยที่สุดที่ 5% สอดคล้องกับนักวิเคราะห์จาก Bernstein ที่เพิ่งปรับลดคาดการณ์ยอดขายทั้งอุตสาหกรรมในปีนี้ลงอย่างมาก จากเดิมคาดว่าจะโต 5% เป็นคาดการ์ว่าจะหดตัว 2%
ซึ่งหากเป็นจริง จะถือเป็นการชะลอตัวที่ยาวนานที่สุดของอุตสาหกรรมสินค้าหรูในรอบกว่าสองทศวรรษ