Xiaomi แซง Apple ทวงบัลลังก์ผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนจีนในรอบ 10 ปี

Business Insider สำนักข่าวด้านการเงินและธุรกิจระดับโลก รายงานตัวเลขล่าสุดซึ่งเผยให้เห็นถึงความท้าทายที่ Apple กำลังเผชิญในตลาดสมาร์ทโฟนของจีน โดยยอดจัดส่ง iPhone ปรับตัวลดลงอย่างน่าจับตาในไตรมาสแรก

 

ขณะที่แบรนด์ท้องถิ่นกลับพุ่งทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเงินอุดหนุนของรัฐบาลและการแข่งขันด้านราคาที่เรียกได้ว่าแทบหายใจรดต้นคอ!

 

จากรายงานการวิจัยของ International Data Corporation (IDC) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ระบุว่าภาพรวมของตลาดสมาร์ทโฟนจีนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มียอดจัดส่งเติบโตขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ทว่าสิ่งที่สวนทางกับภาพรวมตลาด คือยอดจัดส่งของ iPhone ซึ่งลดลงถึง 9%

 

ตามข้อมูลของ IDC ในไตรมาสนี้ Apple เป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่เพียงรายเดียวที่รายงานยอดจัดส่งลดลงและสูญเสียส่วนแบ่งตลาด

 

ขณะที่คู่แข่งในประเทศกลับเป็นฝ่ายที่ครองตลาดจีนได้อย่างโดดเด่น ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ Tim Cook ซีอีโอของ Apple เคยนิยามว่าเป็น "ตลาดที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก"
 

โดยการเติบโตของแบรนด์ท้องถิ่นส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากมาตรการอุดหนุนของภาครัฐ ซึ่งครอบคลุมถึงการซื้อสมาร์ทโฟน

 

Will Wong นักวิเคราะห์จาก IDC ชี้ว่า ราคาของ iPhone ที่ค่อนข้างสูง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Apple แทบไม่ได้ประโยชน์จากการเติบโตที่ได้แรงสนับสนุนจากมาตรการอุดหนุนเหล่านี้

Wong อธิบายในรายงานของ IDC ว่า ยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนของ Apple ในจีน "ปรับตัวลดลง เนื่องจากโครงสร้างราคาแบบพรีเมียมทำให้บริษัทไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการอุดหนุนได้อย่างเต็มที่"

 

โดยในไตรมาสแรก มีการจัดส่ง iPhone รวมทั้งสิ้น 9.8 ล้านเครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 13.7% ของยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนทั้งหมดในตลาดจีนซึ่งอยู่ที่ 71.6 ล้านเครื่อง

 

ในทางตรงกันข้าม คู่แข่งคนสำคัญอย่าง Xiaomi กลับมาทวงตำแหน่งผู้นำตลาดได้อีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสิบปี ด้วยยอดจัดส่งที่พุ่งสูงขึ้นถึง 39.9% คิดเป็นจำนวน 13.3 ล้านเครื่องจากยอดจัดส่งทั้งหมด

 

 

ย้อนกลับไปในเดือนมกราคม รัฐบาลจีนได้ขยายมาตรการอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ให้ครอบคลุมไปถึงการซื้อสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เทคโนโลยีอื่นๆ

 

โดยมาตรการนี้กำหนดเพดานการให้ส่วนลดสำหรับสินค้าที่มีราคาต่ำกว่า 6,000 หยวน หรือประมาณ 27,000 บาท ทำให้ iPhone บางรุ่นมีราคาสูงเกินกว่าที่จะเข้าเกณฑ์ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่สามารถรับส่วนลด 15% จากมาตรการนี้ได้

 

ยกตัวอย่างเช่น iPhone 16 Pro มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 7,999 หยวน หรือประมาณ 37,000 บาท ซึ่งเกินกว่าเพดานที่กำหนด

 

ขณะที่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนท้องถิ่นอย่าง Xiaomi และ Huawei มีสมาร์ทโฟนที่ราคาเข้าถึงง่ายกว่า ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์จากมาตรการอุดหนุนนี้เพื่อลดราคาลงได้ ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคา

อย่างไรก็ตาม มาตรการอุดหนุนจากรัฐบาลไม่ใช่ความท้าทายเพียงอย่างเดียวที่ Apple กำลังเผชิญในจีน

 

ภาษีนำเข้า 145% ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยประกาศใช้กับสินค้าจากจีนยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตา แม้ว่าอุปกรณ์ของ Apple จะได้รับการยกเว้นอัตราภาษีเป็นการชั่วคราวก็ตาม

 

จีนยังคงเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการผลิต iPhone ของ Apple และถึงแม้ว่าในภาพรวม ทรัมป์จะผ่อนปรนอัตราภาษีสูงสุดสำหรับสินค้าเทคโนโลยีที่ผลิตในจีน

 

แต่เขาก็เคยกล่าวในภายหลังว่า Apple อาจต้องเผชิญกับภาษีที่แยกต่างหาก อย่างภาษีชิปเซมิคอนดักเตอร์ ในอนาคต

 

Apple ถือว่ายังคงมีงานหนักรออยู่ในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมาในประเทศจีน เนื่องจากตัวเลขที่ออกมายังคงบ่งชี้ว่า iPhone กำลังสูญเสียฐานที่มั่นเดิมไปเรื่อยๆ

 

 โดยก่อนหน้านี้ ส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในจีนของ Apple ในไตรมาส 4 ปี 2024 อยู่ที่ 17% ซึ่งลดลงถึง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

ทั้งนี้ Apple มีกำหนดเปิดเผยรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญที่จะทำให้ Wall Street และนักลงทุนได้เห็นภาพรวมสถานการณ์ทางธุรกิจของ Apple ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงแห่งนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น