ยสท.ดิ้นสู้บุหรี่เถื่อน ดันใช้ภาษี 3 อัตรา สกัดสินค้าผิดกฎหมาย

26 เมษายน 2568

จับตา สรรพสามิต ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ ลุ้นใช้ระบบ 3 อัตรา (3 Tier) สกัดบุหรี่ผิดกฎหมาย เพิ่มรายได้รัฐ ควบคุมพฤติกรรมผู้บริโภค

สถานการณ์ตลาดบุหรี่ในประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันหลายด้าน ทั้งจากบุหรี่ผิดกฎหมายที่ขยายตัวรวดเร็ว และการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ต้องจับตาการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่รอบใหม่อย่างใกล้ชิด โดยมีความเป็นไปได้ว่าครั้งนี้อาจจะใช้ระบบ “3 อัตรา” หรือ “3 Tier” ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าโครงสร้างเดิม

 

นายภูมิจิตต์ พงศ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการ ยสท. เปิดเผยว่า ได้มีการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอัตราภาษีบุหรี่ และ ยสท. ได้เสนอทางเลือกภาษีทั้งแบบ 1, 2 และ 3 (Tier)  อัตราให้กรมสรรพสามิตพิจารณา โดยเน้นว่าแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน และสุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับกรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังว่าจะเลือกใช้แนวทางไหน

ทั้งนี้ ในมุมของ ยสท. แนวทาง “3 Tier” ถือว่ามีผลสำคัญในการช่วยจัดการปัญหาบุหรี่เถื่อน หรือบุหรี่ผิดกฎหมาย จากเดิมที่มีเพียง 4-5% ของตลาด กลับเพิ่มเป็น 25.4% หลังการปรับภาษีเมื่อปี 2560 ที่ทำให้ราคาบุหรี่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งกลายเป็นช่องว่างให้สินค้าผิดกฎหมายทะลักเข้ามาแทน

 

แต่ในขณะเดียวกัน นายภูมิจิตต์ก็ยอมรับว่า โครงสร้างภาษี 3 Tier อาจโดนวิจารณ์จากภาคสาธารณสุข เพราะหากราคาขายปลีกของบุหรี่ลดลงจริง ก็อาจถูกมองว่าเป็นการเพิ่มการเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จึงต้องถกเถียงกันบนพื้นฐานของข้อมูลและผลกระทบให้รอบด้าน

 

ในทางกลับกัน หากใช้ ภาษีแบบอัตราเดียว (1 Tier) เขาเตือนว่าอาจทำให้ ยสท. ไปไม่รอด เพราะบุหรี่นำเข้าจะมีราคาถูกลงจนแทบไม่ต่างจากของที่ผลิตในประเทศ ผู้บริโภคก็อาจหันไปเลือกบุหรี่นอก ตรงนี้เป็นประเด็นที่จะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบด้วย

ใจผมก็อยากให้ได้ข้อสรุปเร็ว ๆ ว่าสุดท้ายแล้วจะออกมาเป็นแบบไหน เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมในการปรับตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือบุหรี่ผิดกฎหมายที่ตอนนี้โตก้าวกระโดดมาก โดยเฉพาะหลังปรับภาษีปี 2564 บวกกับการที่คนรุ่นใหม่หันไปใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ตลาดบุหรี่แบบเดิมหดตัวถึงปีละ 10% สุดท้ายมันจะเหลือแค่ ยสท. กับบุหรี่นอก มาชิงตลาดเล็ก ๆ กันเอง

 

แม้สถานการณ์ในประเทศจะหดตัว แต่ ยสท. ก็พยายามปรับตัว ด้วยการหันไปพึ่งพาตลาดส่งออกมากขึ้น จากที่เคยพึ่งการขายในประเทศถึง 90% ปัจจุบันเน้นระบายสต็อกใบยาสูบที่ค้างมากว่า 30 เดือน พร้อมผลักดันการส่งออกใบยาไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ปี 2567 มีกำไรทะลุ 700 ล้านบาท และยังมีกำลังการผลิตในระดับ 11,000-12,000 ล้านมวนต่อปี

 

อย่างไรก็ตาม แนวทางภาษีบุหรี่แบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทั้งตลาด และอนาคตของอุตสาหกรรมยาสูบไทย

Thailand Web Stat