posttoday

การบันทึกเสียง ใช้เป็นพยานหลักฐานได้

24 กุมภาพันธ์ 2554

...เดชา กิตติวิทยานันท์

ปัจจุบันการประชุมทางธุรกิจมีการบันทึกการประชุมทั้งภาพและเสียงในระหว่างการประชุม หลังจากนั้นจึงนำไปถอดเทปเก็บไว้เป็นหลักฐาน เหมือนกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร หรือการสนทนาทางการค้าโดยใช้โทรศัพท์ มีการบันทึกเสียงไว้เกี่ยวกับเงื่อนไขและเงื่อนเวลาทางการค้า หรือการทวงหนี้ของสถาบันการเงิน การขายประกันชีวิตทางโทรศัพท์ การทวงหนี้ของบริษัทมือถือ

ปัจจุบันมีการบันทึกเสียงทั้งสิ้น

มีคำถามว่า การบันทึกเสียงดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ ใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ เพราะคู่สนทนาไม่ทราบว่ามีการบันทึกเสียง เป็นการแอบบันทึกเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต

ผมขอเรียนว่า ปัจจุบันได้มีคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 4674/2543 วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สามารถใช้ฟังเป็นพยานหลักฐานได้

การที่จำเลยอ้างส่งเทปบันทึกเสียง ซึ่งบันทึกการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลยพร้อมเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนาเป็นพยานหลักฐานนั้น นับเป็นพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยจะนำสืบในประเด็นเรื่องการใช้เงิน

แม้โจทก์จะไม่ทราบว่ามีการบันทึกเสียงไว้ก็ตาม แต่เมื่อเสียงที่ปรากฏเป็นเสียงของโจทก์จริง และการบันทึกเสียงดังกล่าวเกิดจากการกระทำของจำเลย ซึ่งเป็นคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บันทึกเสียงไว้ ซึ่งโดยปกติจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเบิกความอ้างถึงการสนทนาในครั้งนั้นได้อยู่แล้ว

จึงไม่ถือว่าเทปบันทึกเสียงหรือเอกสารถอดข้อความนั้นเป็นการบันทึกถ้อยคำซึ่งเกิดจากการกระทำโดยมิชอบ อันจะต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 243 วรรคสอง

กรณีที่ 2 เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่บุคคลที่ 3 ลักลอบแอบบันทึกคำสนทนาของคู่สนทนาทางโทรศัพท์ กรณีเช่นนี้เป็นพฤติกรรมที่ผิดต่อกฎหมาย เพราะมี พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ได้บัญญัติไว้ว่ากระทำเช่นนี้เป็นความผิด

เพราะฉะนั้น ถือว่าการบันทึกถ้อยคำสนทนาทางโทรศัพท์ของผู้อื่นนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ปัญหาว่าเทปหรือซีดีบันทึกเสียงคำสนทนาทางโทรศัพท์ของผู้อื่นที่เจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่ 3 แอบลักลอบบันทึกดักฟังเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบต้องห้ามรับฟังเด็ดขาด ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 226 หรือเป็นพยานที่เกิดขึ้นโดยชอบ แต่ได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ชอบต้องห้ามรับฟังตาม ป.วิ.อ.มาตรา 226/1 ซึ่งมีข้อยกเว้นให้ศาลใช้ดุลพินิจรับฟังเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยในคดีนั้นได้ ความเห็นในทางที่จะปกป้องสิทธิเสรีภาพของบุคคลในการสื่อสารทางโทรศัพท์เห็นว่า ต้องถือว่าพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ เพราะฉะนั้นต้องห้ามรับฟังโดยเด็ดขาดตาม ป.วิ.อ.มาตรา 226

โดยให้เหตุผลว่า ถ้าคู่สนทนารู้ว่ามีการดักฟัง การดักฟังเขาก็จะไม่พูดและไม่เกิดถ้อยคำสนทนานั้น ฉะนั้นการที่เขาพูดเพราะไม่รู้ว่าถูกดักฟัง การดักฟังเกิดขึ้นโดยไม่ชอบ ต้องห้ามรับฟังตาม ป.วิ.อ.มาตรา 226 ความเห็นในแนวนี้เป็นความเห็นฝ่ายข้างมาก

ในทางตรงข้าม เห็นไปอีกด้านหนึ่งว่า คำสนทนาของคู่สนทนาไม่มีผู้ใดบังคับฝืนใจให้ต้องพูด คู่สนทนาสมัครใจโดยชอบ การกระทำโดยไม่ชอบของเจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่ 3 ที่ไปดักฟังเป็นเพียงการนำกล่องไปใส่พยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ เพราะฉะนั้นเทปหรือซีดีบันทึกเสียงที่ลักลอบดักฟังมานี้จึงเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ แต่ได้มาด้วยวิธีการอันไม่ชอบ ไม่ต้องห้ามรับฟัง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 226 แต่อยู่ในบังคับของ ป.วิ.อ.มาตรา 226/1

ตัวอย่างในความเห็นฝ่ายที่ 2 นี้ เช่น ผู้ที่ดักฟังอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่ปกติ แต่ว่าทำผิดเงื่อนไขหลักเกณฑ์วิธีการตามกฎหมายบางประการ เช่น เจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ขออนุญาตศาลดักฟัง ซึ่งศาลอนุญาตให้ดักฟังได้ 90 วัน ในการดักฟัง 90 วันนั้น ไม่ได้ข้อความอะไรที่เป็นพยานหลักฐานได้ แต่ในวันที่ 91 หรือ 92 เกิดดักฟังได้คำสนทนาของคนร้ายรายนี้ แล้วปรากฏว่าคนร้ายรายนี้เป็นพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ พยานหลักฐานอื่นยังไม่พอรับฟังได้ มีแต่เทปบันทึกเสียงที่ดักฟังได้แต่ผิดเงื่อนไขตามกฎหมาย

กรณีเช่นนี้ความเห็นฝ่ายที่ 2 เห็นว่าแม้เจ้าหน้าที่กระทำไม่ชอบก็จริง แต่ไม่ถือว่าร้ายแรง แล้วอาชญากรรมรายนี้กระทบกระเทือนสังคมอย่างร้ายแรง พยานหลักฐานชิ้นนี้ก็เป็นของจริง ไม่ได้บิดเบือนตัดต่อ ทำไมถึงต้องตัดทิ้งแล้วปล่อยให้ผู้กระทำผิดอย่างร้ายแรงต่อสังคมลอยนวลเพียงเพราะเจ้าหน้าที่ทำผิดพลาดเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ความเห็นฝ่ายที่ 2 จึงพยายามวิเคราะห์พยานหลักฐานชิ้นนี้ว่าเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ เพราะคู่สนทนาได้สนทนากันโดยชอบ เจ้าหน้าที่กระทำผิดกฎหมายเพียงวิธีการได้มาเท่านั้น

เพราะฉะนั้น พยานหลักฐานเช่นนี้จึงอยู่ในบังคับ ป.วิ.อ.มาตรา 226/1 ศาลอาจใช้ดุลพินิจยกเว้นให้รับฟังได้ถ้าเห็นว่าความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลกระทบที่มีต่อสังคม และเมื่อรับฟังแล้วจะทำให้ระบบงานยุติธรรมของประเทศเป็นไปได้อย่างเหมาะสม

ความเห็นทั้งสองฝ่ายยังไม่มีข้อยุติ หรือมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินเป็นบรรทัดฐานไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (อ้างอิงคำบรรยายเนติบัณฑิตยสภา เล่มที่ 10 บรรยายโดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)