หลักการลงทุน 6 ประการ ที่ผ่านการทดลองและทดสอบมาแล้ว Six Tried-and-Tested Investment Principles
“นักลงทุนที่ไม่มีวัตถุประสงค์การลงทุนก็เหมือนนักเดินทางที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง”
“นักลงทุนที่ไม่มีวัตถุประสงค์การลงทุนก็เหมือนนักเดินทางที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง”
การที่มีพื้นฐานการลงทุนที่แน่นพอสมควร จะช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายที่เหมือนจริงและปฏิบัติตามแผนการเงินของคุณได้ ต่อไปนี้จะเป็นหลักการ 6 ประการที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถกำหนดแนวทางการลงทุนของคุณ
1.มองการณ์ไกล คุณจะต้องคำนึงถึงผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกลุ่มหลักทรัพย์ต่างๆ ในระหว่างที่คุณกำหนดเป้าหมายทางการเงินของคุณ อาทิ หุ้นและพันธบัตรมีผลตอบแทนประมาณ ร้อยละ 8 หรือร้อยละ 7 ต่อปี ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาก สิ่งที่คุณได้รับนอกเหนือจากนี้ถือเป็นโบนัส จำไว้ว่า–เวลาเป็นเพื่อนของคุณ โดยการมองผลตอบแทนระยะยาว คุณจะสามารถผ่านพ้นความไม่แน่นอนในระยะสั้นได้
2.มีวินัย สิ่งที่ผู้จัดการกองทุนประสบความสำเร็จส่วนมากจะทำคือปฏิบัติตามขั้นตอนการลงทุนที่ได้พิสูจน์แล้ว กุญแจสำคัญคือพวกเขาเลือกกฎหรือขั้นตอนการลงทุนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยการจัดตั้งแผนการเงินอย่างชัดเจน หรือนโยบายการลงทุน (Investment Policy Statement–IPS) คุณจะมีกรอบการดำเนินการที่คุณสามารถใช้ในการตัดสินใจด้านการเงินได้
3.ลงทุนแบบรับผิดชอบ ระบุเป้าหมายและอัตราที่คุณสามารถรับความเสี่ยงได้ และจำไว้เพื่อใช้เป็นขอบเขตการลงทุนของคุณ บางครั้ง การที่เราเสี่ยงมากก็อาจนำไปสู่ผลตอบแทนที่สูงได้ แต่ในความเป็นจริงจะนำไปสู่ความขาดทุนมากกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้จัดการกองทุนชั้นนำส่วนมากจะหาวิธีให้คุณได้รับผลตอบแทนสูงสุดจากความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน
4.เข้าใจในสิ่งที่คุณลงทุน หากคุณไม่สามารถอธิบายอย่างง่ายๆ ได้ ว่า ทำไมคุณถึงเลือกลงทุนในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณควรจะคิดอีกรอบเกี่ยวกับการลงทุนของคุณ และคุณควรจะมีความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนดังกล่าว ความเสี่ยงควรจะเป็นสิ่งแรกที่คุณคำนึงถึง ไม่ใช่เป็นการนึกถึงเมื่อเกิดขึ้นแล้ว นักลงทุนส่วนมากมักจะมองเหรียญเพียงข้างเดียว เช่น มองแค่ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ และไม่เคยคำนึงถึงอีกด้านของเหรียญ คือ ความเสี่ยง ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก การลงทุนที่อาจจะมีผลตอบแทนร้อยละ 5 หรือร้อยละ 10 ต่อปี เป็นการลงทุนที่เข้าใจได้ง่าย แต่เมื่อต้องวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ อาทิ มาตรฐานเบี่ยงเบน (Standard Deviation) ในการลงทุน Worst Draw Down, Beta, Information Ratio, Sharpe Ratio จะทำให้การวิเคราะห์ดังกล่าวมีความยากมากขึ้น นักวางแผนการเงินของคุณจะมีค่ามากในการช่วยคุณในประเด็นดังกล่าว
5.แบ่งหน่วย/รูปแบบการลงทุน ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า การลงทุนประเภทใดจะให้ผลตอบแทนสูงสุดในอนาคต ซึ่งก็ทำให้การแบ่งหน่วย/ประเภทการลงทุน (Diversification) มีความสำคัญมากขึ้น เพื่อจะทำให้คุณมีพอร์ตที่แบ่งได้อย่างเหมาะสม คุณควรจะเลือกลงทุนในหลายอุตสาหกรรมและหลายประเภท จำไว้ว่า คุณจะต้องปรับสัดส่วนเป็นระยะ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในพอร์ตการลงทุน
6.รู้ถึงคุณค่าของคำแนะนำจากมืออาชีพ สภาวะการลงทุนที่มีความสับสนมากขึ้น ทำให้มีความท้าทายต่อนักลงทุนในการลงทุนมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเริ่มมีนักลงทุนหันเข้าหานักบริหารมืออาชีพ นักวางแผนการลงทุนผู้ที่จะสามารถช่วยคุณกำหนดแผนการเงินที่แข็งแกร่ง ช่วยคุณตัดสินใจทางการเงินอย่างถูกต้อง และช่วยแนะนำคุณในช่วงที่มีความไม่แน่นอน
ในความเห็นของผมจาก 6 หลักการข้างต้นผมเชื่อว่า ข้อ 1 และ ข้อ 4 มีความสำคัญมากที่สุด นักลงทุนจำนวนมากไม่ได้คิดเกี่ยวกับการลงทุนระยะยาวและจำนวนมากไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาลงทุน แฟชั่นล่าสุดที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีคือกองทุน “ทริกเกอร์” (Trigger Funds) กองทุนประเภทนี้มักจะทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไม่สามารถสูญเสียเงินเพราะกองทุนเหล่านี้ได้ตั้งเป้าผลตอบแทนประมาณ 15% และเมื่อกองทุนดังกล่าวถึงเป้าหมายผลตอบแทนของมันจะถูกยุบและคืนเงินให้กับนักลงทุน
มันเศร้านักที่นักลงทุนจำนวนมากเพียงแต่ดูที่ผลกำไรและไม่เคยมองที่มีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นกระบวนการระยะยาวและนักลงทุนไม่มีการเรียนลัดรวยเร็ว นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะลงทุนอย่างน้อยกว่า 5 ปีหรือนานกว่านั้น ด้วยวิธีนี้พวกเขาได้รับทั้งกำไรและเงินปันผล ซึ่งไม่ควรมองข้ามเพราะประมาณหนึ่งในสามของผลตอบแทนโดยรวมของคุณจะมาจากเงินปันผล