หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่นิมิตร จ.เลย (2) วิธีปฏิบัติภาวนา
วิธีเดินจงกรม
วิธีเดินจงกรม
เมื่อไปถึงต้นทางแล้ว ให้ตั้งเจตนานึกในใจว่า “สาธุ ข้าพเจ้าจะเดินจงกรมเพื่อเป็นการปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ขอจงให้จิตใจของข้าพเจ้าสงบเยือกเย็นเป็นสมาธิ เกิดมีสติปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการเทอญ” แล้วจึงระลึกคำบริกรรมว่า “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” 3 จบ และให้รู้ว่าคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีอยู่ภายในจิตใจของเราแล้ว จึงลืมตาเอามือขวาจับมือซ้ายวางทับกันไว้เพียงสะดือ หรือพกผ้าจึงก้าวขาเดินต่อไป ระลึกคำบริกรรมเอาแต่พุทโธๆๆ คำเดียว ให้เดินว่า พุทโธ กลับไปกลับมา ช้าหรือเร็วแล้วแต่ความถนัดของตน และให้สติระลึกรู้ทวนกระแสเข้าไปจนกว่าสติระลึกรู้เข้าไปถึงใจจริงๆ
ด้วยเหตุนี้วิธีระลึกบริกรรมพุทโธไม่ออกเสียง ระลึกอยู่ในใจ ลิ้นก็ไม่ได้กระดิก คือให้ใจระลึก “พุทโธๆๆๆ” อยู่ภายในใจ เพื่อเป็นจุดหมาย ฝึกหัดสติระลึกรู้เข้าไป จนกว่าสติกับจิตใจรวมเข้าเป็นอันเดียวกัน ชำนิชำนาญแล้วไม่ช้าไม่นานจิตจะสงบรวมเป็นสมาธิ มีลักษณะเบาแข้ง เบาขา คล้ายๆ กับมีสิ่งมาพยุงร่างกาย เบาไปหมดทั้งตัวดังนี้ เรียกว่าจิตรวมด้วยอิริยาบถเดินจงกรม
วิธีนั่งสมาธิภาวนา
ถ้าเดินจงกรมก่อนแล้ว เมื่อหยุดการเดินแล้วขึ้นไปบนกุฏิแล้วกราบที่นอน 3 ครั้ง แล้วจึงนึกตั้งเจตนาว่า “สาธุ ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนา เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้จิตใจของข้าพเจ้าสงบเยือกเย็นเป็นสมาธิ เกิดมีสติปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดโดยธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจงทุกประการเทอญ” จึงบริกรรมว่า “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” 3 จบ แล้วให้เข้าใจว่า คุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีอยู่ภายในใจของเราแล้ว จึงนั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาทับมือซ้าย นั่งตั้งกายให้เที่ยงตรง คือไม่ก้มนัก ไม่เงยนัก ไม่เอียงซ้ายและเอียงขวา เมื่อนั่งเรียบร้อยดีแล้ว จึงหลับตาระลึกบริกรรมเอาแต่คำเดียวว่า “พุทโธๆๆๆ” เป็นอารมณ์ และวิธีระลึกบริกรรมเหมือนกับเดินจงกรมต่างกันแต่อิริยาบถเดินหรือนั่งเท่านั้น แต่ให้สังเกต ที่เราท่านระลึก บริกรรมพุทโธๆๆ ทวนกระแสเข้าไปจนกว่าสติกับจิตใจเข้าเป็นอันเดียวกันแล้ว และรู้สึกสบายใจจะหยุดบริกรรมก็ได้ แต่ให้ตั้งสติกำหนดรู้อยู่ตรงที่รู้ ไม่ให้ความรู้เคลื่อนไหวไปตามอารมณ์สัญญาความนึกคิดอะไรทั้งนั้น ให้กำหนดรู้แน่วนิ่งเฉยอยู่แล้ว จิตจึงจะรวมสนิท ไม่มีนิมิตและอารมณ์รบกวน แล้วรู้สึกสบายกาย สบายใจ หายเหน็ดหายเหนื่อย หายปวดแข้งปวดขา หายปวดหลังปวดเอว รู้สึกสบายมาก ถ้าจิตรวมสนิทดังที่แนะแล้ว
เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ อย่าเพิ่งด่วนออกจากสมาธิ ให้ตั้งสติไว้ แล้วพิจารณาเสียก่อนว่า ทีแรกเรานั่งสมาธิได้ละวางอารมณ์อย่างไร และได้ตั้งสติกำหนดรู้อะไร เรามีความอยากรู้ อยากเห็น อยากเป็นอะไรหรือไม่ จิตเราจึงสงบสุขสบายอย่างนี้ เราต้องสังเกตพิจารณาให้รู้ไว้ ภายหลังจะทำถูกแนวทางและวิธีที่เคยทำมาแล้ว เมื่อทำอีกทีหลัง ถ้าทำด้วยความอยากจิตสงบรวมอีกไม่ได้เลย เพราะความอยากเป็นข้าศึกแก่สมาธิโดยแท้
ผู้ที่ยังไม่เป็นสมาธิก็เป็นไปไม่ได้ เพราะความอยากเป็นนิวรณ์กั้นจิตไว้แล้ว ตัวอย่างการบำเพ็ญสมถะภาวนาให้มุ่งเฉพาะอบรมทรมานจิตใจให้สงบอย่างเดียวเท่านั้น หรือจะมีคุณธรรมประเภทใดเล่าที่จะบังคับจิตใจให้สงบได้อันแท้จริง นอกจากการบากบั่นฝึกหัดสติและมีศรัทธาความเชื่อมั่น และมีฉันทะ ความพอใจ อุดหนุนความขยันหมั่นเพียรจึงจะเป็นผลสำเร็จ ไม่ว่าการงานในทางโลกและทางธรรม ถ้าไม่มีฉันทะความพอใจทำแล้ว การงานนั้นก็ไม่เป็นผลสำเร็จสักอย่างเลย ชาวโลกเขาเรียกว่า คนขี้เกียจขี้คร้านใช่หรือไม่
แล้วทีนี้ทางธรรม ถ้าพระเณรเราท่านไม่มีฉันทะ ความพอใจเดินจงกรม นั่งสมาธิฝึกหัดสติแล้ว สมถะภาวนาก็ไม่สำเร็จผลประโยชน์ คือความสงบ ถ้าความสงบไม่ได้ ส่วนวิปัสสนาไม่ต้องพูดถึงเลย เป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้หมู่คณะครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า พระเณรขี้เกียจ ขี้คร้านเหมือนกันนั้นแลฯ
อีกประการหนึ่ง วิธีระลึกบริกรรมดังที่แนะและอธิบายแล้วเบื้องต้นนั้น มิได้ประสงค์ ให้ฝึกหัดสติระลึกบริกรรมพุทโธๆๆ แต่เวลาเดินจงกรมและนั่งสมาธิเท่านั้นก็หามิได้ “อกาลิโก” คือ ท่านไม่ให้เลือกกาลเวลา เช่น ไปบิณฑบาตก็ระลึกพุทโธๆ ไป ระลึกพุทโธๆ มา เมื่อมาถึงศาลาแล้ว ให้ตั้งสติระลึกรู้อยู่อย่างนั้น ไม่เอาเรื่องฟังเสียงใครทั้งนั้น จะพูดและจะคุยกันอย่างไรก็ตาม ไม่เอาหูใส่ใจฟังเลย ก่อนจะบริโภคฉันภัตตาหาร ก็ให้มีสติกำหนดพิจารณาอาหารตามหลักคำแปลของ “ปฏิสังขาโย” ไม่ควรประมาท ฉันเสร็จแล้ว ไปล้างบาตร เช็ดบาตร ก็ให้มีจิตระลึก “พุทโธๆๆ” อยู่ ไม่ยอมปล่อยจิตใจออกไปภายนอกกายและใจเลย เมื่อเสร็จภัตตกิจแล้ว เดินไปกุฏิก็ให้ระลึก “พุทโธๆๆ” ไป ถึงกุฏิแล้วเก็บสิ่งของไว้เรียบร้อย แล้วเดินจงกรมสักหนึ่งหรือสองชั่วโมงอย่างน้อย หรือมากกว่านี้ก็ได้ เหนื่อยแล้วขึ้นไปกุฏินั่งสมาธิภาวนาตามสมควรแก่กำลังแล้ว ถ้าเคยพักผ่อนจำวัตรก็พักผ่อนบ้าง เมื่อก่อนจะหลับให้นึกตั้งใจไว้ว่า ถ้าเรารู้สึกว่าหลับแล้วตื่น เราจะลุกไม่นอนซ้ำอีกดังนี้ ถ้าไม่เคยจำวัตรก็ไม่ต้อง ยิ่งเป็นการดีมาก ให้ตั้งใจเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง จนถึงเวลาปัดกวาด ทำข้อวัตร กิจวัตรเสร็จแล้ว อาบน้ำชำระกายสบายดีแล้ว กลับที่พัก เดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิภาวนาบ้าง จนกว่าถึงยามค่ำมืดแล้วขึ้นกุฏิกราบที่นอน 3 หน แล้วทำวัตร สวดมนต์แผ่เมตตาจิตแก่สรรพสัตว์ มี กะระณี วิรูปักเข วิปัสสิส พรหมวิหาร 4 ดังนี้ เป็นต้น ตัวอย่างก็ครูบาอาจารย์นำพาทำอยู่ทุกวันพระมิได้ขาด แม้วันธรรมดาครูบาอาจารย์ก็พากเพียรที่จะบำเพ็ญอยู่อย่างนั้นมิได้ขาด เมื่อเสร็จจากการทำวัตรสวดมนต์แล้ว ก็ลงเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง ไม่นอนก่อน 5 ทุ่ม และ 6 ทุ่ม ตี 3 หรือตี 4 ลุกขึ้นทำวัตรเช้า แผ่เมตตาจิต หรือสวดปฏิสังขาโยตามหลักคำแปลของปฏิสังขาโยจบแล้ว จึงเจริญและแผ่เมตตากะระณี วิรูปักเข วิปัสสิส ถ้าโอกาสพอ แต่ตอนเย็นไม่ควรให้ขาด นี่คือสวดย่อ ถ้าท่องได้มากเท่าไร ก็ให้สวดไปจนจบเพื่อกันความหลงลืม
อีกเรื่องคือ การบำเพ็ญสมถะใช้บริกรรมระลึก “พุทโธ” เป็นอารมณ์ ดังที่แนะและอธิบายตั้งแต่ต้นจนที่สุดนั้น ถ้าว่าตามหลักพุทธประสงค์ คือไม่ปล่อยจิตใจออกไปนึกคิดเล่นเรื่องอารมณ์ภายนอก คือนอกจากกายและใจของตน เรียกว่าฝึกอบรมสติเพื่อให้มีกำลังแก่กล้า เป็นมหาสติเป็นใหญ่ที่เรียกว่าอินทรีย์แก่กล้า สามารถบังคับจิตใจให้สงบเป็นสมาธิได้ง่าย ถ้าไม่พากเพียรทำตามที่แนะแล้วนั้น ถึงจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ จิตใจสงบสุขบ้างแล้วก็เสื่อม ทำอีกทีหลังสงบได้ยาก เพราะประมาทปล่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่าน นึกคิดออกไปเล่นเรื่องเล่นอารมณ์วันยังค่ำเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น การฝึกหัดสติ ทำสมาธิภาวนา จึงไม่ได้รับผลอานิสงส์สมดังปณิธานความปรารถนาของตนสักที
บางท่านทำสมาธิจิตใจสงบสุขเป็นบางครั้งบางคราว แล้วก็ควรกำหนดพิจารณาร่างกายให้จงมากเท่าที่จะมากได้ยิ่งเป็นการดี การกำหนดพิจารณากาย ท่านเรียกว่า อนุโลม กำหนดจิตใจ ท่านเรียกว่า ปฏิโลม แต่อย่าทำให้สับสนกัน คือ วิธีพิจารณาดังที่แนะแล้วให้กำหนดเวลาเดินจงกรม แต่ข้อสำคัญ วิธีกำหนดพิจารณากรรมฐาน 5 ควรตั้งข้อสังเกตเพื่อรู้ว่า กรรมฐาน 5 อย่างนั้น อะไรที่ถูกกับจริตนิสัยชอบใจของเรา แล้วกำหนดแยกส่วน แบ่งส่วนพิจารณาเอาแต่อย่างเดียว จึงจะเป็นการชอบ ถ้ากำหนดพิจารณาควบกันไป อย่างนี้บ้างและอย่างโน้นบ้างเช่นนี้ กรรมฐานเลยไม่รู้แจ้งเป็นปัจจัตตังสักอย่างเลย ถ้าเป็นผู้มีสติ มีกำลังตั้งมั่น กำหนดรู้ส่วนหนึ่งแจ่มแจ้งแล้ว ก็รู้ทะลุปรุโปร่งไปหมดในร่างกาย
ถ้าผู้มีสติปัญญาใคร่ประสงค์อยากจะพิจารณาธรรมภายใน ดังเช่น “ไตรลักษณ์” คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภายในรูป หรือนามขันธ์ 5 เช่น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอาทิ ก็ให้พิจารณาได้ในอิริยาบถเดินจงกรมนี้แล เพื่อเป็นแนวทางของวิปัสสนาเป็นคู่ควบกันไปกับสมถะ แต่ขออย่างเดียวอย่าส่งจิตออกไปภายนอกกายและใจก็แล้วกัน และเรื่องบริกรรมภาวนาสมถะขั้นต้นนั้น ถ้าจิตใจมีสติมีกำลังพอสมควรแล้ว เมื่อกำหนดกายส่วนใดส่วนหนึ่ง สติก็ตั้งในอยู่ที่กาย เมื่อกำหนดจิตใจ สติตั้งมั่นอยู่ที่ใจแล้วก็ให้หยุด ไม่ระลึกคำบริกรรมก็ได้ แต่ให้ฝึกหัดสติ กำหนดพิจารณากายและกำหนดจิตใจดังที่แนะและอธิบายมาแล้วนั้นแล
ส่วนเรื่องปีติมีอาการมากมายหลายอย่างพรรณนาไม่ถ้วน คือบางครั้งเกิดเป็นแสงประกายวาบขึ้นเหมือนคนบีบไฟฉาย บางทีก็เกิดเหมือนมีตัวไรตัวเลนไต่ตามตัว หรือตามหน้า บางครั้งก็ปรากฏตัวตนใหญ่สูงกว่าปกติ บางทีทำให้กายเบา บางทีทำให้ขนพองสยองเกล้าเหมือนได้เห็นและได้ยินเสียงสิ่งที่น่ากลัว เป็นอาทิ
ส่วนเรื่องนิมิต บางท่านบางคนก็ปรากฏรู้เห็นแต่น้อยไม่มากนัก บางคนก็มาก คือนิมิตภายในปรากฏเห็นร่างกายของตนเปื่อยเน่าเป็นซากผีไปหมดทั้งตัว เช่นนี้ท่านเรียกว่า “อสุภนิมิต” ถ้าปรากฏเห็นบ่อยๆ ยิ่งดีมาก ไม่ต้องทำความกลัว ส่วนนิมิตภายนอกกายมีมากเหมือนกัน วิธีแก้นิมิตอย่างง่ายๆ คือ อย่าทำความกลัว และอย่ายินดี และยินร้ายในนิมิตก็แล้วกัน ให้ถือเสียว่านิมิตเป็นของหลอกลวง ถ้าเราไม่ทำความยินดีและยินร้าย นิมิตนั้นก็หายไปเอง เอวัง