บรั่นดีดุเดือดไทยเบฟท้ารบชิงเค้กรีเจนซี่
โพสต์ทูเดย์ — ไทยเบฟ ทุ่มพันล้านปั้นเมอริเดียน เขย่าบัลลังก์รีเจนซี่ เจ้าตลาดบรั่นดีค่า 9,000 ล้าน
นายวิโรจน์ จันทรโมลี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง ผู้ทำตลาดสุราสีและสุราขาว เปิดเผยว่า บริษัทใช้งบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ผลิตบรั่นดียี่ห้อเมอริเดียน เพื่อรุกตลาดบรั่นดีมูลค่าราว 9,000 ล้านบาท หรือราว 1.7 ล้านลังต่อปี ที่ปัจจุบันมีรีเจนซี่ทำตลาดเพียงรายเดียว
การตัดสินใจเข้าสู่ตลาดบรั่นดี เนื่องจากพบว่าเป็นตลาดที่เติบโตต่อเนื่อง 510% ทุกปี นอกจากนี้เมอริเดียนยังถือว่าเป็นสินค้าตัวแรกที่รุกตลาดสุราระดับพรีเมียม ตามนโยบายบริษัทที่ต้องการขยับสู่ตลาดพรีเมียมมากขึ้น
มีผู้ทำตลาดหลักๆเพียงรายเดียวคือ รีเจนซี่และมีส่วนแบ่งทางการตลาดเกือบ 100% ซึ่งการผลิตดังกล่าวยังคงใช้โรงงานผลิตสุราที่มีอยู่ โดยบริษัท ยูไนเต็ด ไวน์เนอรี่ แอนด์ ดิสทิลเลอรี่ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการผลิตสินค้าดังกล่าวให้เบื้องต้น 170,000 ลังต่อปี โดยมีสินค้า 2 ขนาด คือ 700 มล.ราคาขาย 450 บาท และ 350 มล. ราคา 229 บาท
ทั้งนี้ บริษัทได้เป้าหมายภายใน 5 ปี จะมีส่วนแบ่งตลาดให้ถึง 50% จากปัจจุบันที่รีเจนซี่ครองส่วนแบ่งเกือบ 100% โดยปีแรกจะใช้งบทำตลาด 100 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้ในตราสินค้า และจัดกิจกรรมเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง หวังส่วนแบ่ง 10% ปีแรก
นอกจากนี้ ไทยเบฟยังมีระบบและช่องทางจำหน่ายสินค้าที่เข้มแข็งผ่านร้านค้าทั่วไป 350,000 ร้านค้าทั่วประเทศ รวมทั้งห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่เป็นพันธมิตรหลักอยู่แล้ว ซึ่งทำให้มั่นใจว่าจะกระจายสินค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด โดยบริษัทจะไม่ใช้กลยุทธ์ขายพ่วงกับสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายการอื่นแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีจะเริ่มนำเข้าสก๊อตวิสกี้ตัวแรกจากบริษัท อินเวอร์เฮาส์ ดิสทิลเลอร์ส ประเทศสกอตแลนด์เข้ามาทำตลาด เพื่อรุกตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับพรีเมียมมากขึ้น หลังจากซื้อกิจการมา 45 ปีแล้ว โดยจะพัฒนาและนำเข้าสินค้าใหม่อย่างน้อยปีละ 1 รายการ เพื่อเพิ่มสัดส่วนสุราระดับพรีเมียมเป็น 253% ภายใน 5 ปี
พร้อมตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 35% จากปี 25 52 ที่มียอดขายรวม 5.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนสุราขาวและสุราสีเท่ากันที่ 50%นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า หากบริษัทปูฐานตลาดบรั่นดีในประเทศแข็งแกร่งแล้ว คาดว่าภายใน 3 ปีจะเริ่มส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ สอดคล้องกับนโยบายอินเตอร์เนชันแนลไลเซชัน ซึ่งปัจจุบันมีทีทงานที่ทำตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่แล้ว ส่วนการบุกตลาดยุโรปคาดว่าจะใช้บริษัท อินเวอร์เฮ้าส์ฯ เป็นผู้ทำตลาด ปัจจุบันบริษัทส่งออกสุราขาวและสุราสีในสัดส่วนที่น้อย 34% เท่านั้น ผ่านสุราสียี่ห้อหงส์ทอง แสงโสม และในอนาคตจะต้องจับตามองคราวน์ 99 ที่คาดว่าจะมาแรงขึ้น และในปี 2553 บริษัทจะรุกส่งออกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปยังตลาดภูมิภาคมากขึ้น รับนโยบายเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟตา โดยมั่นใจว่าจะยังคงปกป้องตลาดในประเทศได้อย่างแข็งแกร่งไม่หวั่นแบนด์จากต่างประเทศเข้ามาตีตลาด เพราะมองว่าการกระจายสินค้าคงทำได้ยากมากเมื่อเทียบกับบริษัท
อย่างไรก็ตาม ในปี 2553 บริษัทจะใช้งบรวมกว่า 500 ล้านบาท เพื่อทำตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลุ่มสุราขาวและสุราสีทุกแบรนด์ โดยจะให้ความสำคัญกับการปั้นบรั่นดีน้องใหม่เป็นหลัก และภายในสิ้นปีคาดการณ์ยอดขายรวมจะเติบ 35% สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นผู้บริโภคและเกษตกรทั่วไป ทั้งนี้ ปี 2552 บริษัทปิดยอดขายรวมราว 55,000 ล้านบาท สัดส่วนสุราขาวและสุราสีเท่ากันที่ 50%
นายวิโรจน์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทยและนำเข้าจากต่างประเทศรวม 6 บริษัทก่อตั้งสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อดำเนินกิจกรรมเพ่อสังคมถือเนสิ่งที่ดี และการที่บริษัทไม่เข้าร่วมเนื่องจากมองว่าที่ผ่านมาทำกิจกรรมเพื่อสังคมอยู่แล้วจำนวนมาก ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้สามารถแยกกันหรือรวมกลุ่มกันดำเนินการได้ตามความเหมาะสม