posttoday

AA&P คาดการณ์ GDP ไทยแตะ 3.8% เตือนรับมือเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต

13 เมษายน 2566

AA&P มองเศรษฐกิจไทยฟื้น คาดการณ์ GDP ขยายตัวแตะ 3.3% - 3.8% จากแรงฟื้นตัวด้านท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศ คาดแจ้งเกิด New S-Curve แต่ต้องเตรียมรับมือเศรษฐกิจถดถอยในอนาคตด้วย

นายธีระยุทธ ไทยธุระไพศาล  ผู้จัดการใหญ่สายงานวาณิชธนกิจและตลาดทุน กลุ่ม บริษัท แอดไวเซอรี่ อัลไลแอนซ์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส จำกัด หรือ AA&P ให้มุมมองถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกว่า ด้วยปัญหาสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2565  ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในระยะฟื้นตัวและยังคงมีความเปราะบางอยู่ ทำให้มีความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสงครามการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครน การปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ สภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจ 

โดยในระยะที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลาย 10 ปี รวมถึงแนวโน้มปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกในจังหวะนี้เป็นช่วงที่เปราะบางมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา

ดังนัน้น ธนาคารกลางทั่วโลกจึงมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในกรอบที่ 4.5-4.75% ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว

เพื่อลดความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ 40 ปี ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมีความกังวลว่าเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลงอีกและมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน อีกทั้งยังเป็นสร้างความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อเสถียรภาพของระบบการเงินทั่วโลก 

ทั้งนี้ ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาในบางประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศโลกตะวันตกมีการเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน โดยมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในทุกๆ 2 หรือ 3 เดือน เพื่อต่อสู่กับสภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มมากขึ้นจากทุกธนาคารกลางทั่วโลก

ไม่เว้นแต่แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเช่นกัน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่า อัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกประมาณ 1-1.5% ในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นมากถึง 5-6% ซึ่งจะเห็นได้ว่ากรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นผลดีต่อบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยที่ไม่ต้องแบกรับต้นทุนทางการเงินที่อาจจะเพิ่มขึ้นในอนาคต 

AA&P คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงระหว่าง 3.3% - 3.8% โดยการขยายตัวดังกล่าว เป็นผลมาจากแรงฟื้นตัวจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศ ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากการผ่อนปรนมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศต่าง ๆ รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ มีโอกาสที่จะได้รับอนิสงค์จากการฟื้นตัวดังกล่าว

โดยการเริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ จะส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่เป็น New S-Curve หรือ Intermediate S-Curve ได้ เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเกษตรนวัตกรรมใหม่ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือแม้แต่กระทั่งอุตสาหกรรม Logistics ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคตนี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง และมีโอกาสที่จะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับการเข้ามาลงทุนในระยะต่อไป

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ปัญหาสภาพคล่องของ Silicon Valley Bank (SVB) ที่เกิดขึ้นในปีนี้เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ได้เข้ามาเพิ่มความกังวลและสั่นคลอนภาคธนาคารทั้งในสหรัฐ ฯ และยุโรป ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุนเกี่ยวกับวิกฤติทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นได้

แต่ด้วยการตอบสนองของภาครัฐที่รวดเร็วในระยะสั้น และการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมให้กับภาคธนาคาร ได้ช่วยลดแรงกดดันและป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปได้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าภาวะทางการเงินที่เริ่มตึงตัวขึ้นเร็วดังกล่าว จะส่งผลให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงได้

ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังมีสัญญาณค้างสูง ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันให้นโยบายการเงินยังไม่สามารถกลับมาสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ โดยแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกดังกล่าวถือเป็นหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี้นี้ได้

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาแรงฟื้นตัวจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศ ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามที่กล่าวข้างต้น จะพบว่าเฉพาะการเติบโตของรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นที่มาของการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไปแล้วประมาณ 4%

ขณะที่สัญญาณในภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ของประเทศทั้งภาคการส่งออกและภาคการบริโภคในประเทศ ยังมีแนวโน้มชะลอตัว สะท้อนให้เห็นถึง “การฟื้นตัวที่ไม่เท่ากันระหว่างภาคเศรษฐกิจในประเทศ” ซึ่งในภาคธุรกิจยังคงมีการระดมทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ตลอดจนนำไปลดภาระหนี้ ที่อัตราดอกเบี้ยมีทิศทางจะปรับตัวสูงขึ้นตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น

โดยภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะออกตราสารหนี้ระยะยาวกันมากขึ้น รวมถึงเริ่มหันมาใช้เครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เพื่อช่วยในการระดมทุนจากภาคเอกชนและล็อคต้นทุนทางการเงินก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้นอีก

ในระยะต่อไป AA&P มองว่าความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก และทิศทางการปรับเปลี่ยนของนโยบายการเงินการคลัง ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดทุนมีความผันผวนสูงอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจดทะเบียนไทยควรเฝ้าระวังและจับตามองพัฒนาการของสภาวะทางการเงินต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสะท้อนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคเศรษฐกิจไทย

สำหรับการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุน ตลอดจนการดำเนินนโยบายทางธุรกิจในช่วงนี้ที่สภาวะทางเศรษฐกิจใกล้ถึงจุดเปลี่ยน จำเป็นต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา และควรติดตามข่าวสารเพื่อประเมินข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดต่อไป