SCBX ตั้งเป้าพอร์ตกรีนในปี 2050 อัดสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 1.5 แสนล้านบาท!
SCBX ยอมรับท้าทายทำพอร์ตสินเชื่อเป็น Net Zero ในปี 2025 เล็งทำให้พอร์ตกรีนมากขึ้น ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนในปี 2023-2025 จำนวน 1.5 แสนล้านบาท
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ Financial for Sustainability งาน Sustainability Forum 2025 : Synergizing for Driving Business จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2567 ณ สยามพารากอน ว่า
SCBX เป็นกลุ่มบริษัททางการเงินแห่งแรกและแห่งเดียวของไทยที่ให้คำสัญญาที่จะทำให้เกิด Net Zero ของ SBTI ( The Science Based Targets initiative) ซึ่งภาคอุตสาหกรรมหลักๆ ของโลกเกือบ 9,000 แห่งจะทำตามมาตรฐานดังกล่าว ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่สามารถวัดได้ ตรวจสอบได้และสอดคล้องกับการที่จะช่วยทําให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ดังนั้นภายใต้คำสัญญานี้จึงเกิดการประกาศขึ้น เราทำ Net Zero สโคป 1,2 จะต้องทำให้ได้ในปี 2030 แต่ที่สำคัญคือสโคป 3 เพราะต้องทำให้พอร์ตสินเชื่อเป็น Net Zero ภายในปี 2050 จากตัวเลขการปล่อยคาร์บอนของบริษัทปีละ 70,000 ตัน แต่พอร์ทสินเชื่อของไทยพาณิชย์ปีที่แล้วสูงถึง 6.7 ล้านตัน หมายความว่าการปล่อยคาร์บอนของ SCBX จริงๆ นั้นมีเพียงแค่ 1% เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือการพาลูกค้าให้เดินไปสู่เป้าหมาย Net Zero ให้ได้ จึงเป็นความท้าทายและโอกาสสำคัญ
ยกตัวอย่างเช่น พอร์ตทางด้านพลังงาน ในการปล่อยคาร์บอน 6.7 ล้านตัน พอร์ตพลังงานไฟฟ้ามีส่วนในการปล่อยแล้วกว่าครึ่งหนึ่งราว 3.4 ล้านตัน เพราะฉะนั้นหากอยากจะทำให้พอร์ตกรีนขึ้น ทางธนาคารก็ต้องเลือกปล่อยสินเชื่อไปยังบริษัทที่ผลิต 'พลังงานหมุนเวียน' มากขึ้น และเลือกปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัทที่ใช้พลังงานฟอสซิลน้อยลง
" สิ่งที่เราทำต่อเนื่องมาก 10 กว่าปีคือ เราปล่อยสินเชื่อพลังงานหมุนเวียนเกือบ 200,000 ล้านบาท โดยมีพอร์ตเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนราว 61% "
นอกจากนี้ ทางธนาคารยังสามารถกำหนดนโยบายที่จะไม่ปล่อยสินเชื่อใหม่ให้แก่โรงงานถ่านหิน แต่ถ้าลูกค้าโรงงานถ่านหินเป็นลูกค้าปัจจุบัน ก็จะต้องเกิดการสนับสนุนให้ลูกค้าปรับตัวไปสู่ Green Energy ด้วย
ดร.ยรรยง กล่าวว่าธนาคาร ได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนในปี 2023-2025 ไปแล้วกว่า 150,000 ล้านบาท และจนถึงสิ้นปี 2024 คาดว่าจะปล่อยสินเชื่อไปแล้วราว 130,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ เพราะลูกค้ารายใหญ่มีการตระหนักรู้และปรับเปลี่ยนตนเอง นอกจากนี้ยังเป็นเพราะลูกค้ารายใหญ่มีการตกลงกับทางธนาคาร หากลูกค้าสามารถบรรลุเป้าหมายในเรื่อง ESG จะมีเรื่องการลดดอกเบี้ยให้ ในลักษณะของอินเซนทีฟ
ส่วนในบริษัทระดับ SME หรือลูกค้ารายย่อย จะต้องตอบโจทย์ไม่เฉพาะแค่เรื่องขาดเงินทุน แต่ยังต้องสนับสนุนทั้งเรื่องเทคโนโลยี และความรู้ด้วย.