กลุ่ม JMART เชื่อ Market Cap รวมแตะ 5 แสนล้าน ย้ำลงทุนสุกี้ตี๋น้อยต่อยอดได้
กลุ่ม JMART มั่นใจ Market Cap. ของทั้งเครือสามารถเติบโตถึง 5 แสนล้านตามเป้าหมายภายในปี 2567 บนพื้นฐานตัวเลขกำไรที่วางไว้ ย้ำลงทุนสุกี้ตี๋น้อยต่อยอดได้กับหลายกิจการในเครือ อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ซีอีโอชวนให้รอติดตามข่าวสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนใหม่ภายในสัปดาห์หน้า
จากที่กลุ่มบริษัทเจมาร์ท จัดงานพบนักลงทุน (Investor Day) เพื่อนำเสนอข้อมูลผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 3/2565 รวมถึงแนวทางการเติบโตของธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจการเงิน ธุรกิจบริหารหนี้ และธุรกิจเทคโนโลยี รวมไปถึงการขยายเครือข่ายพันธมิตรนั้น
กลุ่มบริษัท JMART ยืนยันกับนักลงทุนว่าจะสามารถทำให้กิจการเติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยเฉพาะที่ต้องการให้มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ( Market Cap.) รวมทั้งกลุ่มอยู่ที่ 5 แสนล้านบาทภายในปี 2567
ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทตั้งเป้า Market Cap. โดยคำนวณบนพื้นฐานของตัวเลขกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมีการกำหนดกำไรที่คาดหวังให้แก่ผู้นำของกิจการในเครืออย่างชัดเจน แต่ไม่ได้คำณวนจากการซื้อขายหุ้นของนักลงทุน เพราะหากกลุ่มบริษัทสามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมาย ก็ย่อมทำให้กิจการเติบโต และนำไปสู่การทำให้มูลค่าของทั้งกลุ่มเติบโตด้วย
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีกรณีที่บมจ. วีจีไอ ได้ขายหุ้นบางส่วนที่ถืออยู่ใน บมจ.เจมาร์ท ออกไปในช่วงไม่กี่วันนี้ก่อนนี้และทำให้ราคาหุ้นของ JMART ตกลงก็ตาม ด้วยทางกลุ่มเชื่อว่านักลงทุนต่างมีมุมมองต่อบริษัทที่ต่างกัน และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อภาพรวม
รวมถึงมั่นใจว่านักลงทุนยังให้มูลค่าของกลุ่ม JMART อยู่ แม้นักลงทุนแต่ละคนย่อมมีมุมมองต่อบริษัต่างกันก็ตาม แต่ด้วยพื้นฐานกำไรในอนาคต น่าจะทำให้บริษัทมี Market Caps. ถึงเป้าได้ และยังมีเวลาอีก 2 ปี ตลอดจนย้ำว่าจากเงินทุนที่ได้มาเมื่อต้นปี 2565 จำนวน 3 หมื่นล้าน จะถูกนำใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ไม่น้อย และยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทกล้าที่จะกำหนดเป้าหมายในระดับนี้
สำหรับประเด็นโอกาสของการลงทุนในบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารภายใต้แบรนด์ “สุกี้ตี๋น้อย" นั้น กลุ่ม JMART มองว่าถือเป็นการลงทุนแบบ strategic partner
โดยเฉพาะด้วยศักยภาพของผู้ก่อตั้งอย่าง นัทธมน พิศาลกิจวนิช ซึ่งมีความมุ่งมั่นสูงที่ต้องการให้ธุรกิจเติบโต มีกลยุทธ์การตลาดที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน และยังมีเป้าหมายที่อยากให้กิจการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จึงสอดคล้องกับแนวทางของกลุ่ม JMART ที่ต้องการผลักดันให้บริษัทในเครือเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
นอกจากนี้การลงทุนใน "สุกี้ตี๋น้อย" ยังนำไปสู่การต่อยอดกับกิจการอื่น ๆ ในเครือ ไม่ว่าจะเป็นกับบมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท ที่จะนำไปสู่การสร้างบิสซิเนสโมเดลใหม่ แม้แต่กับทางบริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัดที่จะขายอุปกรณ์มือถือให้กับพนักงานของร้านสุกี้ตี๋น้อย เช่นเดียวกับลูกค้าของบมจ. ซิงเกอร์ประเทศไทย ก็มาเป็นลูกค้าของสุกี้ตี๋น้อยได้
อีกทั้งด้วยประสบการณ์จากการไปลงทุนในธุรกิจอาหารที่เติบโตสูงในอนาคต ก็สามารถนำไปสู่การหาพันธมิตรในด้านนี้เพิ่เติมอีกได้
ทั้งนี้ นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตั้งแต่หลังการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทางกลุ่มมีการทำงานหนักและไม่ยอมแพ้ ทำให้กิจการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่าในสัปดาห์หน้าจะมีการประกาศดีลสำคัญที่น่าตื่นเต้นอีกด้วย
"ตั้งแต่ปี 2020 เราเติบโตถึง 50% ส่วนปี 2021 ได้ 55% ปี 2022 ใน 3 ไตรมาสโต 53% บ่งบอกถึงความพยายามของทุกคนในกลุ่มบริษัท เพราะไม่ได้หยุดพักผ่อนหรือหยุดทำงาน ให้รอติดตามว่าจะเติบโตอีก ถ้าใจยังสู้ ย่อมถึงเป้าหมายเห็นกำไรเติบโตอีก 50% ในปีหน้า"