posttoday

ปรากฏการณ์ เอ็มพลิก! "ขันเงิน ไทยเทเนียม"คิดใหญ่ฟื้น"MPIC"

14 มิถุนายน 2566

ถอดรหัส ปรากฏการณ์ เอ็มพลิก! หลัง "ขันเงิน ไทยเทเนียม"นั่งแท่นเบอร์หนึ่งผู้ถือหุ้น เปิดใจคิดแผนใหญ่ฟื้นธุรกิจ "MPIC" สู่ Entertainment Management พร้อมรีแบรนด์ใหม่โกอินเตอร์

     หลังเกิดปรากฎการณ์ "ขันเงิน ไทยเทเนียม" หรือ ขันเงิน เนื้อนวล นักร้องหนุ่มวงการแร๊ปเปอร์ ทุ่มเงิน 650 ล้านบาท ซื้อหุ้น "บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์ เทนเม้นท์ จํากัด (มหาชน) หรือ MPIC" จำนวน 1,202.13 ล้านหุ้น คิดเป็น 92.46% ของหุ้นที่ออกจําหน่ายแล้วทั้งหมดของ MPIC จาก บริษัท เมเจอร์ ซีนีพล็กซ์ กรุ้ป จํากัด (มหาชน) หรือ MAJOR ในราคาหุ้นละ 0.54 บาท 

     กระชากราคาหุ้น MPIC วันที่ 23 พ.ค.66 เปิดกระโดดขึ้นไปแตะสูงสุด 1.98 บาท เทียบจากวันที่ 22 พ.ค.66 ซึ่งเป็นวันที่ทำรายการราคาอยู่ที่ 1.52 บาท จากนั้นราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนขึ้นไปทำไฮสูงสุด ในวันที่ 29 พ.ค.66 แตะระดับ 3.18 บาท

     ต่อมา MPIC ประกาศตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นจากนักลงทุนทั่วไป(เทนเดอร์ออฟเฟอร์) ที่ราคาหุ้นละ 1.50 บาท คาดใช้เงินลงทุนราว 150 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 9 มิ.ย.-13 ก.ค.2566 ซึ่งเป็นราคาตลาดก่อนจบดีลซื้อขายหุ้นและเป็นราคาที่สูงกว่าการเข้าซื้อของ "ขันเงิน ไทยเทเนียม"

     จากราคาหุ้นที่ยืนเหนือระดับ 2.50 บาทได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ล่าสุด ณ ราคาปิดเช้านี้(14 มิ.ย.66) ไหลรูดลงมาอยู่ที่ 1.95 บาท ลดลง 0.11 บาท คิดเป็น -5.34%

 

     คำถามตัวโตๆก็คือ "MPIC" มีดีอะไร ? ทำไม "ขันเงิน"จึงสนใจ หรือนี่คือการถือหุ้นแทนใครหรือไม่? ใช่ STARK รึเปล่า ? หรือ "ขันเงิน"มีความเกี่ยวข้องกับ STARK หรือไม่ อย่างไร? 

     "โพสต์ทูเดย์" จับเข่าคุย "ขันเงิน ไทยเทเนียม" เปิดอกเคลียร์ชัดทุกประเด็น โดย "ขันเงิน" กล่าวถึงความสนใจซื้อหุ้น MPIC ว่า ส่วนตัวทำธุรกิจเกี่ยวกับเอ็นเตอร์เทนเมนท์มานาน มีประสบการณ์ในวงการมานานกว่า 23ปี ทำวงไทยเทเนียม ทำธุรกิจ เกี่ยวกับวงการเพลง รายการทีวี และธุรกิจเครื่องดื่ม POWER และถือหุ้นหลายบริษัท ทั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัด 4 กันยายน , บริษัท ไทยเทเนียม พับลิชชิ่ง, บริษัท ไทยเทเนี่ยม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด, บริษัท บีเจ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด และ บริษัท ไทยเทเนี่ยม เบฟเวอเรจ จำกัด

     ซึ่งตอนนั้นได้คุยกับพี่เต็มรู้จักกันมานานมาก ถามว่าสนใจขยายงานให้ใหญ่ขึ้นหรือไม่ ด้วยไอเดียต่างๆที่ได้พูดคุยกัน พี่ๆต่างก็เชียร์ให้คิดใหญ่เพื่อที่จะสามารถผลักดันโปรเจกต์ต่างๆที่ได้คิดไว้สามารถทำให้เกิดเร็วขึ้น นี่คือโครงหลักที่ว่าทำไมถึงกล้าที่จะก้าวให้ใหญ่ขึ้น 

 

ได้เวลา..คิดใหญ่

     ประกอบกับทางคุณวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAJOR ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ MPIC ในขณะนั้นสนใจอยากหาพันธมิตร Synergy Partners ที่เข้าใจธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเข้าใจว่าตอนนั้นคุณวิชาได้มีการเจรจาหลายท่าน แต่เรามองว่านี่คือโอกาสและเข้าทางเราที่จะลุยธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์ จึงได้ปรึกษากับคุณพิรุฬ ชินวัฒน์ และคุณเต็ม ที่จะเข้าไปเจรจากับคุณวิชา 

     จากนั้นจึงได้กลับมาปรึกษากันอีกครั้งว่า หากดีลนี้เกิดขึ้นควรใช้ชื่อ"ขันเงิน"ซื้อหุ้น MPIC หรือไม่ แต่ด้วยเกรงว่าอาจจะมีผลต่อราคาหรือเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญคือสุดท้ายแล้วเราไม่ทราบว่าดีลจะจบที่เราหรือไม่ ด้วยความที่ทุกอย่างยังไม่ชัดเจนจึงพิจารณาใช้ชื่อคุณชินวัฒน์ อัศวโภคี ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญเข้าไปจองซื้อหุ้น MPIC แทน ซึ่งตอนนั้นไม่ทราบจริงๆว่าคุณชินวัฒน์ อัศวโภคี เป็นอดีตกรรมการของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ถ้าทราบเรื่องตั้งแต่ต้นคงใช้ชื่ออื่นแทน พอดีล MPICสำเร็จชัดเจนจึงได้เปิดตัวผู้ถือหุ้นใหญ่ 

 

ไม่ใช่นอมินี-ไม่ขายหุ้น?

     ผมไม่ใช่นอมินีใคร เงินลงทุนที่ซื้อ MPIC มาจากเงินส่วนตัว ราว 20-30% ที่เหลือ 70-80% คือกู้เงินจากกองทุนสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเงินกู้ระยะยาว ที่สำคัญคือไม่เกี่ยวอะไรกับ STARK เลย และขอยืนยันอีกครั้งว่า ตัวผมเอง หรือ MPIC ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ STARK แต่อย่างใด

     "ตอนนี้ถือหุ้นกว่า 90%แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะขายหุ้นออกมาเพราะสนใจที่จะเข้ามาทำธุรกิจจริงๆ และตามเกณฑ์คือห้ามขายหุ้นเป็นเวลา 1 ปี ส่วนในอนาคตจะขายออกมาหรือไม่ อาจจำเป็นต้องขายเพื่อเพิ่มฟรีโฟรทหุ้น เพราะตอนนี้ยังต่ำกว่าเกณฑ์หรืออาจจะขายบางส่วนให้พันธมิตรทางธุรกิจในอนาคตก็เป็นไปได้เช่นกัน"

 

ธุรกิจต้องดีกว่าเดิม ?

     MPIC ยังคงดำเนินธุรกิจเดิม คือ ผลิตภาพยนตร์ไทย รวมถึงธุรกิจจัดซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศตามปกติ โดยมี MAJOR เป็นพันธมิตรเหมือนเดิม แต่ธุรกิจใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาเสมือนการต่อยอดธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นท์แนวใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบันเทิงมากขึ้น การจัดงาน Event ไม่ว่าจะเป็นงานเพลง หรือ Concert ต่าง ๆ ทั้งศิลปินไทยและศิลปินต่างชาติ เพื่อให้ MPIC เป็นบริษัทบันเทิงที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมในหลากหลายมิติ

     "ธุรกิจเดิมยังรันปกติ ไม่เปลี่ยนธุรกิจยังทำภาพยนต์ต่อไป รันต่อไปแต่ไม่ให้ขาดทุน ก็สามารถร่วมกับเมืองนอกได้ ผมอาจไม่ถนัดแต่ค่อนข้างมีคอนเนคชั่น ถ้าร่วมกันทำก็อาจจะทำให้ใหญ่ขึ้น ส่วนธุรกิจใหม่จะลุยคอนเสิร์ตรูปแบบใหม่ๆ มิวสิคเฟสติวัล สตรีทอาร์ต วงการภาพยนต์ เพลง สตรีมบอร์ดเพลงหนัง เป็นต้น เป็นการนำสิ่งที่ทำมาสร้างให้ใหญ่ขึ้น ถ้าเราเห็นอะไรที่น่าจะผลักดันไปต่อได้ก็พร้อมจะเปิดประตูให้ มอบโอกาสให้น้องๆศิลปิน เราไม่ได้มองว่าตัวเองจะทำค่ายเพลง แต่ในเชิงเอ็นเตอร์เทนเมนท์เราก็สามารถผลักดันได้ จัดงานไปให้ไกลกว่านี้ดีกว่าเดิมได้ เราเปิดกว้างให้พาร์ทเนอร์ทุกคน"

 

รีแบรนด์ MPIC ?

     แน่นอนว่า หลังจากแผนธุรกิจเสร็จสิ้น ซึ่งเราวางแผนงานทุก 6-8 เดือนเพื่อให้ทันกับทุกสถานการณ์ เพราะเราไม่รู้ว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์อะไรขึ้นบ้าง จากนั้นเราจะมีการปรับโฉมใหม่ MPIC ซึ่งเราอยากเป็น Entertainment Management ดังนั้นเราจะรีแบรนด์เพื่อแสดงตัวตนให้ชัดขึ้น สะท้อนภาพธุรกิจรูปแบบใหม่ที่จะเข้าสู่ระดับโลก แต่ในเบื้องต้นอาจยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ รอแผนชัดเจนพร้อมประกาศแน่นอน

     ความท้าทายในเวลานี้ พูดตามตรงคือจริงๆผมตื่นเต้นมาก เพราะเราทำเพลงมานานมากกว่า 20 ปี พอมาทำธุรกิจตรงนี้มันเปิดกว้าง เราไปคุยกับใครก็เปิดกว้างมากขึ้น เปิดโอกาสให้ตัวเราได้ทำงานกับคนจำนวนมาก เพราะบางคนที่ทำหนังมาคุยกันเราสนใจแต่ก็ทำไรไม่ได้ พอมาตรงนี้คิดได้กว้าง จุดไฟให้เราขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ตั้งบนความคาดหวังของทุกคน

     "ขอเวลาปีนี้พิสูจน์ผลงานก่อน ปีนี้เป็นปีทดลองว่าสิ่งที่เรากำลังทำธุรกิจใหม่ 3-4อย่างนั้นผลตอบรับหรือความสนใจของตลาดมันใช่อย่างที่คิดหรือไม่ ซึ่งก็จะช่วยให้โครงสร้างปีหน้าชัดขึ้น และจะสะท้อนผลงานออกมาแน่นอน โดยในปี65 MPIC มีกำไร 25 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาดรายได้ 200 ล้านบาทรับรู้จากลิขสิทธิ์ในช่วงครึ่งหลังปีหน้า"

 

"MPIC"เป็นหุ้นแบบไหน?

     อยากให้หุ้น MPIC เป็น หุ้น Fundamental Stock เป็นหุ้นพื้นฐานที่ทำงานจริงๆและโชว์ผลงานจริงๆ เพราะไม่ได้สนใจราคาหุ้น เราให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นฐานให้ดี ผลประกอบการเติบโต วันนี้จึงไม่สามารถพูดได้ชัดว่าจะเป็นหุ้นปันผลเพราะเราไม่ทราบว่าผลประกอบการจะเป็นอย่างไร แต่แน่นอนว่าเราอยากจะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐาน Fundamental Stock แต่ขอเวลาพิสูจน์ผลงาน คาดว่าจะเห็นภาพที่ชัดขึ้นในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน