5 หุ้น "ตระกูล JMART" มาร์เก็ตแคปวูบกว่าแสนล้าน
เทไม่หยุด! 5 หุ้น "ตระกูล JMART" กอดคอร่วงไม่หยุด ฉุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)นับตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึงปัจจุบัน เทียบปี 2565 ที่ผ่านมา ลดลง 109,797.01 ล้านบาท
"ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์" รวบรวมข้อมูลจาก SETSMART พบว่า หุ้นใน "ตระกูล JMART" ซึ่งประกอบด้วย 5 บริษัท ดังนี้คือ
1. บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT)
2. บมจ. เจ มาร์ท (JMART)
3. บมจ. ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER)
4. บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท (J)
5. บมจ. เอสจี แคปปิตอล ( SGC) ซึ่ง SINGER ถือหุ้นใหญ่ ณ วันที่ 27 ก.พ.2566 จำนวน 2,449,998,000 หุ้น 74.92% รองลงมาคือ JMART ถือจำนวน 145,798,585 หุ้น 4.46%
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) ของ กลุ่ม JMART นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 23 มิ.ย.2566 เทียบปี 2565 มาร์เก็ตแคปลดลง 109,797.01 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นในกลุ่มเจมาร์ที่เพิ่งเข้าเทรดในตลาดหุ้นและเข้าถือหุ้นในปี 2566 นั่นก็คือ 1. หุ้นไอพีโอ "บมจ. พีอาร์ทีอาร์ (PRTR)" เข้าเทรด SET วันที่ 15 มี.ค. 2566ที่ผ่านมา ขายราคา 7.20 บาท ล่าสุดราคายังต่ำจอง ซึ่ง JMART ถือหุ้นอันดับ 2 ณ วันที่ 30 มี.ค.2566 จำนวน 90 ล้านหุ้น คิดเป็น 15%
และ 2. ถือลงทุนหุ้น "บมจ. บางกอก เดค-คอน (BKD)" ที่ JMART ถือหุ้นอันดับ 3 ณ วันที่ 10 มี.ค.2566 จำนวน 100 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.29%
ขณะที่ บริษัทร่วมทุนที่เตรียมเข้าตลาดหุ้น ทั้ง บมจ.บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป(BNN) หรือ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ที่ JMART ถือหุ้นราว 30% และ บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจเค จำกัด (JK AMC) คงต้องติดตามกันต่อไป
คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นใน "ตระกูล JMART" ไหลลงเหมือนเปิดก๊อกได้ขนาดนี้ ?
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ทาง JMART ได้ออกมาเคลียร์ข่าวลือเกี่ยวกับบริษัทจะถูกตรวจสอบการซื้อขาย และข่าวลือต่างๆในห้องค้าหลักทรัพย์ฯ โดยชี้แจงชัดเจนว่า ข่าวและสารสนเทศดังกล่าวเป็นข่าวลือไม่เป็นจริง โดยไม่มีที่มาอย่างแท้จริงจากแหล่งข่าว และแหล่งอ้างอิงของข้อมูลที่เชื่อถือได้ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สร้างผลกระทบในเชิงลบต่อบริษัท
นอกจากนี้ JMART ยืนยันการดำเนินงานด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมาย และปฎิบัติตามแนวทางหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน (Good Corporate Governance)
แม้จะออกมาเคลียร์ข่าวผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯก็ตามที แต่ราคากลับสะท้อนออกมาในทางตรงกันข้าม
อย่างไรก็ดี ทางทีมข่าวโพสต์ทูเดย์พยายามสอบถามความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์หลายสำนัก เพื่อนำเสนอความจริงว่า สาเหตุที่ราคาร่วงขนาดนี้เกิดจากสิ่งใดกันแน่ อีกทั้ง ทิศทางผลประกอบการของกลุ่มบริษัทเป็นอย่างไร รวมถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้ แผนกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นต้องวางเกมอย่างไร แต่กลับไม่มีนักวิเคราะห์ให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด ทีมข่าวได้แต่หวังว่า ความจริงจะปรากฏชัดๆในเร็ววันนี้!