JMART สะดุด! SINGER ฉุดผลงานฟื้นตัวยากในครึ่งหลังปี 66
โบรกฯ เตือน JMART หมดหวังผลงานฟื้นตัวได้เร็วในครึ่งหลังปี 66 หลัง SINGER ยังเป็นตัวถ่วงยาว สวน “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ออกโรงลั่นไตรมาส 2/66 เป็นจุดต่ำสุดปีนี้ คาดพลิกฟื้นได้ในไตรมาส 3-4/66 เกมดันราคาหุ้นพุ่ง
ตามที่ บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ได้ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส2/2566 พลิกขาดทุนสุทธิ 611.2 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 389.4 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากผลการขาดทุนใน บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ที่ได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ส่งผลให้งวดครึ่งแรกปี 2566 JMART พลิกขาดทุนสุทธิ 906 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 714.5 ล้านบาท
ขณะที่ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART ได้ออกมาให้ความมั่นใจว่า ไตรมาส 2/2566 คือ จุดต่ำสุดของปี 2566 และคาดว่าผลงานจะพลิกกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 3/2566 และไตรมาส 4/2566 โดยยังคงมีปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงาน เช่น การเติบโตของธุรกิจติดตามหนี้ด้อยคุณภาพ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัทเจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ซึ่งเพิ่งได้พอร์ตสินเชื่อหนี้ด้อยคุณภาพแบบไม่มีหลักประกันขนาดใหญ่เข้ามาในไตรมาส 2/2566
จึงทำให้ JMT มีกำไรไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.2% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ433.3 ล้านบาท รับยอดจัดเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้น และมีกำไรจากการซื้อลูกหนี้เก็บเข้าพอร์ต สนับสนุนให้งวดครึ่งปีแรก มีกำไรสุทธิ 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 800.3 ล้านบาท
รวมไปถึงการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ Jas Green Village บางบัวทอง ของ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ในเดือน ก.ย.2566 และการเข้าสู่ High Season ของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจัดจำหน่ายมือถือ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด ที่จะมีมือถือรุ่นใหม่ออกมาจำหน่าย พร้อมกับการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน “New Ecosystem” เพื่อต่อจิ๊กซอว์สร้างการเติบโตจาก Synergy ภายในกลุ่มบริษัท
จากความเห็นของผู้บริหารดังกล่าว ดันราคาหุ้น JMART เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2566 ปรับเพิ่มขึ้น 11.73% หรือเพิ่มขึ้น1.90 บาท มาปิดที่ 18.10 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขายรวม 1,398.84 ล้านบาท และวันที่ 15 ส.ค.2566 ยังคงบวกต่อ โดยปรับเพิ่มขึ้น 1.10% หรือเพิ่มขึ้น 0.20 บาท มาอยู่ที่ 18.30 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 578.52 ล้านบาท สวนทางกับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 และครึ่งแรกปี 2566 ที่ออกมาขาดทุนหนัก และแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
ขณะเดียวกัน การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เกี่ยวกับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของ JMART แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับความเห็นของผู้บริหารที่ออกมาให้ความมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส2/2566 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2566 ก่อนจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังดังกล่าว
โดย “โพสต์ทูเดย์” ได้สอบถามนักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มข้างหน้าดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นและไม่คาดหวังว่าการดำเนินงานของ JMART จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วในครึ่งหลังปี 2566 นอกจากนี้ การดำเนินงานของ SINGER ดูเหมือนจะใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ในการกลับมามีกำไร
หลังจาก JMART รายงานผลขาดทุนสุทธิอย่างหนักที่ 611 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะมีกำไรสุทธิที่ 100 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนอย่างหนักจาก SINGER ที่ 618 ล้านบาท (เทียบกับที่คาดไว้ว่าจะขาดทุน 140 ล้านบาท) และการสูญเสียการวัดมูลค่ายุติธรรมที่สูงขึ้นของ บริษัท บางกอก เดคคอน จำกัด(มหาชน) หรือ BKD และบริษัท ซุปเปอร์ เทอร์เทิล จำกัด (มหาชน) หรือ TURTLE
รวมทั้งผลจากการบันทึกตามราคาตลาด (MTM) ของการลงทุนใน บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR และ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ฉุดผลการดำเนินงานของ JMART ขาดทุนสุทธิ 906 ล้านบาท ในครึ่งแรกปี 2666 ดังนั้น ปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการกำไร ราคาเป้าหมาย และคำแนะนำ
สอดคล้องกับ บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ผลการดำเนินงานของ SINGER ในไตรมาส 3/2566 ที่จะยังรับรู้ขาดทุนตามการตั้งสำรองด้อยค่าสินค้า และ credit cost ที่จะยังสูง ตามการตัดจำหน่ายหนี้สูญ และ NPL ที่ยังไม่ดีขึ้น รวมทั้งสินเชื่อที่จะขยายตัวต่ำ ตามความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
โดยปรับขาดทุนสุทธิปี 2566 เพิ่มเป็น 4,200 ล้านบาท (เดิม 1,600 ล้านบาท) จากการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายสำรองด้อยค่าสินค้า และ credit cost ขึ้น เพื่อรองรับ NPL ที่สูง และกันสำรองบางส่วนเป็น overlay ทั้งนี้ คงแนะนำ “ขาย” ราคาเป้าหมาย 6 บาท จากผลการดำเนินงานของ SINGER ที่จะยังไม่กลับมาดีขึ้นในเร็ววัน และต้องอาศัยระยะเวลา 2-3 ปี เพื่อรักษาให้ NPL ดีขึ้น