posttoday

PSP ปิดเทรดวันแรก 10.00 บาท เหนือจอง 61.29%

30 สิงหาคม 2566

PSP ปิดเทรดวันแรก 10.00 บาท พุ่ง 61.29% จากราคาไอพีโอ 6.20 บาท สะท้อนนักลงทุนเชื่อมั่นพื้นฐานธุรกิจ ปักหมุด 3 ปี (67-69) รายได้โต 20% ต่อปี เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่มีอัตรากำไร-การเติบโตสูง มุ่งขยายตลาดต่างประเทศ และลงทุนในรูปแบบเข้าซื้อกิจการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันนี้ (30 ส.ค.2566) เป็นวันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร

โดยเปิดซื้อขายที่ราคา 9.40 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 3.20 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 51.61% จากราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 6.20 บาท ระหว่างวันปรับตัวขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 12.00 บาท ปรับตัวต่ำสุดที่ 9.30 บาท และปิดซื้อขายที่ราคา 10.00 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 3.80 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 61.29% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,795.00 ล้านบาท 

PSP ปิดเทรดวันแรก 10.00 บาท เหนือจอง 61.29%

นายสินธุ์ ครองพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP เปิดเผยว่า รู้สึกพอใจกับราคาหุ้นที่เปิดซื้อขายวันแรก ซึ่งสูงกว่าที่คาดหวังไว้ สะท้อนนักลงทุนเชื่อมั่นพื้นฐานธุรกิจ โดย PSP เป็นหนึ่งในผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบบครบวงจรของภูมิภาคอาเซียนและเป็นผู้ผลิตอิสระรายใหญ่ของประเทศไทย 

ทั้งนี้ บริษัทเตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ลงทุนในโรงงานของบริษัท เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน แบ่งเป็นวงเงินกู้ยืมสำหรับการเข้าซื้อ U.C. Marketing และวงเงินกู้ยืมระยะสั้น รวมทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัท 

ขณะที่แผนการดำเนินงานในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2567-2569) บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20% ต่อปี จากการให้บริการที่ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์หล่อลื่น และมีองค์ความรู้ด้านการวิจัยพัฒนาพร้อมห้องปฎิบัติการที่ทันสมัย เพื่อพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรและการเติบโตสูง รองรับเมกะเทรนด์ของอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตและให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม 

โดยบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและวิจัยผลิตภัณฑ์ น้ำมันเกียร์และจาระบีสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ผลิตภัณฑ์หล่อเย็นสำหรับแบตเตอรี่รถไฟฟ้า (EV Cooling) ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น (Lubricant) หรือจาระบี (Grease) สำหรับแบตเตอรี่และน้ำมันหม้อแปลงชีวภาพ (Bio Transformer Oil) การพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น

ขณะเดียวกัน บริษัทมุ่งบริหารจัดการต้นทุนและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งโรงงาน ให้สามารถรับประโยชน์สูงสุดจากกิจกรรมการผลิตในภูมิภาคอาเซียนที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงลงทุนเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รองรับแผนรุกขยายผลิตภัณฑ์หล่อลื่นในตลาดต่างประเทศ โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 25% ของรายได้จากการขายรวม ภายในปี 2569

นอจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจผ่านการลงทุนในรูปแบบการเข้าซื้อกิจการ ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมให้ครอบคลุมธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Sustainable Solution รวมถึงธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรมในอนาคตที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม (New S-Curve)

นางสาววีรยา ศรีวัฒนะ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า PSP เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโมเดลการผลิตและให้บริการด้านผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบบครบวงจร 

ตลอดจนการนำความสามารถด้านการวิจัยพัฒนาที่แข็งแกร่ง มาสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีอัตรากำไรที่ดี สอดรับกับการเติบโตของเทรนด์ของอุตสาหกรรม พร้อมการบริหารจัดการด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตที่ดี

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า PSP มีศักยภาพการเติบโตที่ดีจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมธุรกิจตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสามารถใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันทุกมิติในการสร้างการเติบโตไปกับกระแสการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable) และมุ่งเน้นธุรกิจในอนาคตที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม (New S-Curve) เพื่อส่งเสริมความสามารถการทำกำไรและสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง