ก.ล.ต. รื้อเกณฑ์ IPO รอบ 8 ปี เริ่ม 1 ม.ค.68 จ่อออกมาตรการใหม่คุม Program Trading
ก.ล.ต. เดินหน้ายกระดับคุณภาพ บจ. ต่อเนื่อง หวังเรียกความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ล่าสุด ไฟเขียว ตลท. ปรับเกณฑ์ IPO ในรอบ 8 ปี มีผล 1 ม.ค.68 และเพิ่มเหตุขึ้นเครื่องหมาย C เริ่มใช้ 1 เม.ย.67 จ่อยกระดับมาตรการเดิม-ออกมาตรการใหม่ คุม Program Trading โดยเฉพาะ HFT ต้น มี.ค.นี้
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้จัดทำโครงการ “บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์เข้มแข็ง” ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ที่มุ่งสร้างความเชื่อมั่นและเชื่อถือ (Trust & Confidence) ในตลาดทุน เพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนและการทำหน้าที่ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนทั้งองคาพยพ โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านแนวทางการดำเนินการและกิจกรรมต่าง ๆ ตาม 3 มาตรการหลัก ได้แก่ ป้องกัน ป้องปราม และปราบปราม มาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2567 คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอ และเป็นส่วนหนึ่งใน “มาตรการป้องกัน” ของ ก.ล.ต. ประกอบด้วย
1.ปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่กำหนดคุณสมบัติของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) เพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัท ที่จะเข้าจดทะเบียน โดยจะมีการปรับเกณฑ์พิจารณาฐานะการเงินและผลประกอบการ รวมทั้งความมั่นคงของบริษัทในมิติต่างๆ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568 หลังจากมีการปรับปรุงครั้งล่าสุดไปเมื่อปี 2560
2.ปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อทำให้กระบวนการพิจารณาคุณสมบัติของบริษัทที่จะจดทะเบียนโดยอ้อม (Backdoor Listing) และการย้ายกลับมาซื้อขาย (Resume Trade) มีความเข้มข้นเทียบเท่ากับการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) มีผลบังคับใช้วันที่ 1 เม.ย.2567
3.ปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อยกระดับการแจ้งเตือนผู้ลงทุน และการเพิกถอนบริษัทที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม มีผลบังคับใช้วันที่ 1 เม.ย.2567
และ 4.ปรับปรุงหลักเกณฑ์การเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้นและผู้ถือหน่วยสำหรับบริษัทจดทะเบียน ทรัสต์ และกองทุนต่างๆ คาดว่าจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2567
“การปรับปรุงหลังเกณฑ์ดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนอย่างแน่นอน ทำให้มีบริษัทจดทะเบียนถูกขึ้นเครื่องหมายมากขึ้นในวันที่มีผลบังคับใช้ แต่ในระยะยาวเชื่อว่าบริษัทจดทะเบียนจะเข้มแข็ง และลดจำนวนบริษัทที่ถูกขึ้นเครื่องหมายลงได้” นางพรอนงค์ กล่าว
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างการทบทวนหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น ปรับปรุงหลักเกณฑ์การทำรายการที่มีนัยสำคัญ (MT) และการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน (RPT) เพื่อกำหนดหน้าที่ให้บริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนให้ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เพื่อกำหนดให้ต้องยื่นงบการเงินย้อนหลัง 3 ปีล่าสุดที่ผ่านการตรวจสอบและเป็นไปตามมาตรฐานการจัดทำรายงานทางการเงิน Publicly Accountable Entities (PAE) เริ่มบังคับใช้แล้ว สำหรับบริษัทที่จะขอยื่นเสนอขายหุ้น IPO ในปี 2567
รวมไปถึงการยกระดับการทำหน้าที่ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในบริษัทจดทะเบียน (Line of defense) เช่น กรรมการ กรรมการตรวจสอบ กรรมการอิสระ ผู้บริหารและเลขานุการ รวมทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ (Gatekeeper) เช่น ผู้สอบบัญชีและที่ปรึกษาทางการเงิน ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องและเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้งเดินหน้าส่งเสริมความรู้และความคุ้มครองให้ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ “มาตรการป้องปราม” ก.ล.ต. ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฯ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและพัฒนาระบบเพื่อแจ้งเตือนความผิดปกติหรือความเสี่ยงในด้านต่างๆ โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยในการกำกับดูแลให้มีความรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ มีประสิทธิภาพและสามารถป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบได้
ขณะเดียวกัน ยังรวมถึงการทบทวนหลักเกณฑ์และมาตรการในการซื้อขายหลักทรัพย์ให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น เช่น ทบทวนเกณฑ์การกำหนดวงเงินลูกค้า การพิจารณาคุณภาพหลักประกัน และการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อไม่ให้คนไทยซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย หรือ Non-Voting Depositary Receipt (NVDR)
รวมทั้งร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ศึกษาแนวทางการออกเกณฑ์ Auto Halt หรือหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวสำหรับหุ้นที่มีการซื้อขายผิดปกติ โดยคาดว่าจะมีการออกหลักเกณฑ์และนำมาปฏิบัติได้ภายในปี 2567
สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเป็นหนึ่งในการดำเนิน “มาตรการปราบปราม” โดยที่ผ่านมาได้ทำอย่างเต็มกำลัง สำหรับเคสที่อยู่ในความสนใจของประชาชนกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK)
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ไปแล้ว เมื่อปรากฏข่าวหลักฐานในส่วนที่ ก.ล.ต. ตรวจสอบเพื่อเอาผิดกับผู้กระทำผิด ดังนั้น ก.ล.ต. จึงได้ประสานความร่วมมือและติดตามกับ DSI และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อชี้ให้เห็นข้อมูลที่ ก.ล.ต. ใช้ในการพิจารณากล่าวโทษ
นางพรอนงค์ กล่าวว่า ขณะนี้สัดส่วนการซื้อขายหุ้นด้วย Program Trading มีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่ 30-40% ของมูลค่าซื้อขายรวมของตลาด ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ตลาดหุ้นทั่วโลก แต่น้อยกว่าตลาดหุ้นในต่างประเทศที่มีสัดส่วนถึงกว่า 70%
อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต. ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างหามาตรการที่สอดคล้องกับตลาดทุนไทยเพิ่มเติม ในการควบคุม Program Trading โดยเฉพาะ High Frequency Trading (HFT) คาดว่าจะมีการยกระดับมาตรการเดิม และการออกมาตรการใหม่ๆ ในช่วงต้นเดือน มี.ค.2567 จากปัจจุบันที่มีมาตรการดูแล Program Trading ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะระบบดูแลความเสี่ยง และมาตรการดูแลต่างๆ