SET ฟื้นตัวจำกัด และอ่อนตัวได้ แนะ “Selective Buy” เลือก AOT และ BCH
SET ฟื้นตัวจำกัด และอ่อตัวได้ หลังตัวเลขภาคการผลิตสหรัฐขยายตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ ก.ย.65 หนุนบอนด์ยีลด์พุ่ง สร้างความไม่แน่นอนต่อช่วงเวลาลดดอกเบี้ยของเฟด กลยุทธ์การลงทุน “Selective Buy” แนะนำ AOT และ BCH
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ประเมินว่า SET ยังอ่อนแรง ทำให้กรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1,385 และ 1,390 จุด ตามลำดับ ขณะที่ตัวเลขภาคการผลิตสหรัฐขยายตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ ก.ย.2565 หนุน bond yield ปรับขึ้น สร้างความไม่แน่นอนต่อช่วงเวลาการลดดอกเบี้ยของเฟด เป็นปัจจัยลบต่อดัชนีให้อ่อนตัวได้ โดยมีแนวรับที่ 1,368 และ 1,360 จุด ตามลำดับ
ทั้งนี้ ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ จากความคาดหวังเชิงบวกที่มีต่อดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนและสหรัฐอจะฟื้นตัว อีกทั้งเงินเฟ้อของไทยคาดยังอยู่ในระดับต่ำเพียงพอที่จะคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ได้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ "Selective Buy" ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไรหลังราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นทะลุ US$85 /bbl จากกังวลเศรษฐกิจถดถอยลดลงหนุนอุปสงค์ด้านอุปทานได้ผลบวกจากสถานการณ์ตึงเครียดรหว่างรัสเซีย-ยูเครน โดยผู้รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ Trading PTTEP (ราคาน้ำมันระยะยาวเพิ่มทุก US$1/bbl บวกต่อราคาเป้าหมาย 5 บาทต่อหุ้น) และ TOP (ค่าการกลั่นและกำไรสต๊อก) ขณะที่มองลบต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (ค่าการตลาดแคบ) และกลุ่มสายการบิน (ต้นทุนเพิ่ม)
2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการผลิต (โดยเฉพาะจีน) และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว เลือก GFPT KCE SCGP IVL PTTGC
3) หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่จะดีขึ้นตามผลฤดูกาล เนื่องจากกำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ไทย ซึ่งปีนี้รัฐบาลประกาศชัด 21 วัน เริ่ม 1-21 เม.ย.นี้ (จากข้อมูลในอดีต 13 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในเดือน เม.ย. เฉลี่ยราว 2.5% MoM) เลือก AOT ERW MINT CPALL
4) หุ้นเก็งกำไรจากภาวะดอกเบี้ยที่จะกำลังปรับตัวลง โดยเฉพาะหากอัตราเงินเฟ้อไทย มี.ค. ยังรายงานมาอยู่ในระดับต่ำ เลือก กลุ่มไฟแนนซ์ (TIDLOR) กลุ่มสาธารณูปโภค (GULF) กลุ่มขนส่ง (AOT)
สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ AOT ได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่ High Season ของธุรกิจท่องเที่ยวไทย ขณะที่ไตรมาส 2/2567 (ม.ค.-มี.ค.2567) คาดมีกำไรปกติที่ 5.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% YoY และ 25%QoQ หลังมองจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศจะอยู่ที่ 86% ของระดับก่อนเกิดโควิด-19 อีกทั้งปัจจุบันราคาหุ้นยังขึ้นช้ากว่าหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน
BCH เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มการแพทย์ในฐานะ earnings play เนื่องจากกำไรปกติจะเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 20%YoY ในปี 2567 แรงหนุนจาก รายได้ที่สูงขึ้นและมาร์จิ้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้ง Valuation ไม่แพง โดยเทรดที่ PER 67F ระดับ 30 เท่า หรือ -1SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต