เสิร์ฟ 9 หุ้น DEEP VALUE ร่วงแรง - กำไรโตต่อ
ภาวะสงครามกดดันหุ้นไทยร่วงแรง หุ้น DEEP VALUE เริ่มผุด โบรกคัดให้ 9 หุ้นลงลึกเทียบดัชนีปี 2563 ทำจุดต่ำสุด 969 จุด แต่กำไรปี 2567 ดี
ในวิกฤติมีโอกาส..ในโอกาส(อาจ)มีวิกฤติ
เมื่อไรที่หุ้นไทยย่อแรงไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็ตามที่เราไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งเดียวที่นักลงทุนต้องทำ นั่นก็คือ "ตั้งสติ" และทำตามแผนที่วางไว้ แต่หากไม่มีแผนอะไร วันนี้ผู้สื่อข่าว "โพสต์ทูเดย์" จะพาไปรู้จักกับ "หุ้น DEEP VALUE" ซึ่งก็คือ หุ้นพื้นฐานดี ราคาถูกมากในเชิงพื้นฐาน
เบื้องต้นหุ้นที่จะเข้าข่ายหุ้นประเภทนี้ดูได้จาก 4 เหตุปัจจัยคือ 1. ราคาหุ้นปัจจุบันเทียบกับราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ประเมิน ราคามี Upside เกินกว่า 20% ขึ้นไป พูดง่ายๆคือราคาร่วงแรงมากว่าราคาที่โบรกประเมินไว้ ยิ่งลงแรง ยิ่งราคาถูก
แต่ถ้าราคาลงแรงเกินเหตุไปมาก อาจมีอะไรผิดปกติ เราต้องพิจารณา ข้อ 2. นั่นก็คือ "ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง" ใช่หรือไม่ และ 3. นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำซื้อ
ซึ่งข้อมูลต่างๆนักลงทุนสามารถดูข้อมูลได้จาก www.settrade.com หลังจากเซิร์จ "ชื่อหุ้น" เสร็จ จากนั้นคลิกตรงคำว่า "ความคิดเห็นนักวิเคราะห์" จะมีบทวิเคราะห์ของแต่ละโบรก สามารถพิจารณาประกอบการตัดสินใจได้
9 หุ้น DEEP VALUE
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ในช่วงหลังสงกรานต์ ประเด็นสงครามตะวันออกกลางกดดันให้ SET INDEX ลงมาลึกถึง 64 จุด หรือราว -4.5% มาอยู่ที่ 1332 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี 5 เดือน
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน SETINDEX มีโอกาสรีบาวน์กลับได้บ้าง ด้วยปัจจัยต่างๆ และเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด ดังนี้
1. ทางตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดเผยมีเพียงบริษัทเดียวที่มีบริษัทย่อยในอิสราเอล รายได้ในปี 2565 เท่ากับ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งประมาณ 0.26% ของรายได้จากต่างประเทศเท่านั้น
2. ทางตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดเผยข้อมูลนักลงทุน “อิสราเอล-อิหร่าน” ถือครองหุ้นไทย ณ เดือน ส.ค. 66 รวมกันแค่ 141 ล้านบาทเท่านั้น (อิสราเอล 117 ล้านบาท และอิหร่าน 24 ล้านบาท)
3. เช้านี้ดัชนี DOW JONES FUTURES พลิกฟื้นขึ้นมาเกือบ 900 จุด จากจุดต่ำสุดในวันศุกร์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันฝ่ายวิจัยฯ เริ่มเห็นหุ้นใน SET INDEX หลายๆ บริษัทลงลึกเกินไปเมื่อเทียบกับพื้นฐาน ทั้ง P/E เหลือ 14.5 เท่า (ต่ำกว่า -1SD ในรอบ 10 ปี) และ SET INDEX ปัจจุบัน 1332 จุด สูงกว่าจุดต่ำสุดวันที่ 13 มี.ค.63 (วันที่เกิด 2 CIRCUIT BREAKER) ที่ 969 จุด อยู่ 37.5% อย่างไรก็ตามกลับมีหุ้นหลายๆ บริษัทกำไรยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีในปีนี้ แต่ราคากลับลงไปบริเวณจุดต่ำสุด ณ วันที่ 13 มี.ค. 63 แล้ว
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯทำการค้นหา “หุ้น DEEP VALUE ลงลึกเทียบกับวันที่ SET ทำจุดต่ำสุดที่ 969 ในปี 2563 แต่แนวโน้มกำไรปี2567 ยังดี” ได้ผลลัพธ์ดังตารางทางด้านล่าง
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำทยอยสะสมหุ้น EGCO แนะนำ Underweight ราคาเป้าหมาย 150 บาท , BGRIM แนะนำ Overweight ราคาเป้าหมาย 34 บาท , CPF แนะนำ Overweight ราคาเป้าหมาย 23 บาท , BJC แนะนำ 35 ราคาเป้าหมาย Overweight บาท , CPALL แนะนำ Overweight ราคาเป้าหมาย 81 บาท ,
SCC แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 330 บาท , STEC แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท , TASCO แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 22 บาท , IRPC แนะนำ Neutral ราคาเป้าหมาย 2.40 บาท ในช่วงที่ SET INDEX ลงมาลึกกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น
ราคาหุ้น EGCO ปิดการซื้อขายเช้าวันนี้ (22 เม.ย. 2567) อยู่ที่ 110 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท คิดเป็น +0.46% มูลค่าการซื้อขาย 51.19 ล้านบาท
ราคาหุ้น BGRIM อยู่ที่ 25.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.65 บาท คิดเป็น +2.64% มูลค่าการซื้อขาย 134.46 ล้านบาท
ราคาหุ้น CPF อยู่ที่ 18.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท คิดเป็น +2.84% มูลค่าการซื้อขาย 181.74 ล้านบาท
ราคาหุ้น BJC อยู่ที่ 24.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท คิดเป็น +2.90% มูลค่าการซื้อขาย 244.31 ล้านบาท
ราคาหุ้น CPALL อยู่ที่ 55.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท คิดเป็น +0.91% มูลค่าการซื้อขาย 717.18 ล้านบาท
ราคาหุ้น SCC อยู่ที่ 244 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท คิดเป็น +0.83% มูลค่าการซื้อขาย 161.70 ล้านบาท
ราคาหุ้น STEC อยู่ที่ 9.90 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 11.18 ล้านบาท
ราคาหุ้น TASCO อยู่ที่ 15.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท คิดเป็น +0.64% มูลค่าการซื้อขาย 20.53 ล้านบาท
ราคาหุ้น IRPC อยู่ที่ 1.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท คิดเป็น +1.04% มูลค่าการซื้อขาย 33.22 ล้านบาท