posttoday

ศาลฯ สั่ง STARK คืนเงิน KBANK กว่า 5,264 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย

23 เมษายน 2567

ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ตัดสิน STARK กระทำผิดสัญญา และผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 4 รุ่น สั่งคืนเงิน KBANK กว่า 5,264 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 เม.ย.) ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ ผบ.347, 403/2566 มีโจทก์คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ในฐานะผู้ถือหุ้นแทน ให้ฟ้องร้อง บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK

โดยวินิจฉัย และตัดสินว่า STARK การกระทำผิดสัญญา และผิดนัดชำระหนี้ จึงต้องคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้กับ KBANK ในฐานะผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ของหุ้นกู้ 4 รุ่นของ STARK มูลค่ารวมกว่า 5,264.10 ล้านบาท (เฉพาะเงินต้นยังไม่รวมดอกเบี้ย) ได้แก่

1.หุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2566 (STARK239A) มูลค่าเงินต้น 1,291.50 ล้านบาท
2.หุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2567 (STARK249A) มูลค่าเงินต้น 949.50 ล้านบาท
3.หุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2567 (STARK245A) มูลค่าเงินต้น 1,701.10 ล้านบาท
4.หุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2568 (STARK255A) มูลค่าเงินต้น 1,322.00 ล้านบาท

นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายกลุ่มรวมพลังหุ้นกู้ STARK ซึ่งเข้าร่วมรับฟังการพิจารณา เปิดเผยว่า ศาลได้มีคำพิพากษาให้ STARK ต้องคืนเงินต้นทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย 

รวมถึงศาลได้มีการกำหนดค่าเสียหายเพื่อลงโทษ 1 ใน 4 ของความเสียหาย ซึ่งต้องดูว่าศาลจะมีวิธีคิดคำนวณอย่างไร แต่ตามกฎหมายสามารถกำหนดค่าเสียหาย 1 เท่าตัวได้ เช่น ค่าเสียหายมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท จากคำตัดสินให้ค่าเสียหายเพิ่ม 1 ใน 4 ก็เป็นค่าเสียหายระดับ 1,000 ล้านบาท เหมือนกัน โดยศาลได้พิจารณาแล้วว่าเป็นคดีที่มีการเอาเปรียบผู้บริโภค 

อีกทั้งมีผู้เสียหายในกลุ่มผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2565 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2567 รุ่น STARK242A มูลค่าเงินต้นคงค้าง 3,934.30 ล้านบาท ซึ่งผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ คือ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ซึ่งได้มีการฟ้องร้องแล้ว และตามข้อกฎหมายสามารถนำคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ ที่ผบ.347 , 403 / 256 ไปใช้ประกอบในการดำเนินคดีได้ และเชื่อว่าศาลจะมีการตัดสินไปในทางเดียวกันกับคดีนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีการอ้างบริษัทอยู่ในสภาวะถูกยึดทรัพย์ ไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชดใช้คืนผู้เสียหายต้องดูว่าจะมีการเจรจาบังคับคดีเพื่อคืนทรัพย์อย่างไร หากมีการอุทธรณ์ก็ต้องสู้คดีต่อไป หากไม่อุทธรณ์ก็ต้องดูว่ามีทรัพย์สินพอที่จะคืนเงินผู้เสียหายหรือไม่ตามคำพิพากษา 

ทั้งนี้ หากไม่คืนหรือไม่พอคืนก็อาจมีการขอให้ศาลมีคำพิพากษายึดทรัพย์ขายทอดตลาด แต่ปัจจุบันทรัพย์สินในส่วนของ STARK และผู้ถูกกล่าวหาทางสำนักงานกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดอายัดไว้จึงทำให้บังคับคดีลำบาก