VGI งบปี 66/67 ขาดทุน 3,489 ลบ. รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุน KEX ส่วนแบ่งกำไร JMART ลดลง

27 พฤษภาคม 2567

VGI รายงานงบปี 66/67 ขาดทุนสุทธิ 3,489 ล้านบาท รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการลงทุนใน KEX และส่วนแบ่งกำไร JMART ลดลง คาดรายได้ปี 67/68 ที่ 6,000-6,500 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียวโอนทุนสำรองตามกฎหมายและส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญล้างลดขาดทุนสะสม-ออกหุ้นเพิ่มทุนขาย PP

บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI รายงานผลการดำเนินงานในปี 2566/67 (เม.ย.2566-มี.ค.2567) มีผลขาดทุนสุทธิ 3,489 ล้านบาท โดยในปี 2566/67 บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทร่วมค้าและบริษัทร่วม 735 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ซึ่งการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนนี้มีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ขาดทุนของ KEX และส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงจาก JMART 

ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากการให้บริการและการขายทั้งหมด 4,813 ล้านบาท คิดเป็นสัตส่วนจากรายได้ของธุรกิจสื่อโฆษณา 44% เพิ่มขึ้นจาก 40% สัดส่วนรายได้จากธุรกิจการให้บริการด้านดิจิทัล 32% เพิ่มขึ้นจาก 29% และสัตส่วนรายได้จากธุรกิจการจัดจำหน่าย 24% ลดลงจาก 31% ซึ่งรายได้จากธุรกิจการจัดจำหน่ายลดลง 23.1%  

ในขณะที่รายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาและธุรกิจการให้บริการต้านดิจิทัลเพิ่มขึ้น 8.7% และ 8.5% ตามลำดับ ดังนั้น บริษัทมีรายได้รวมลดลงเล็กน้อย หรือลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สำหรับรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาในปี 2566/67 อยู่ที่ 2,105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของอัตราใช้สื่อโฆษณาในทุกประเภทสื่อ โดยปี 2566/2567 มีอัตราใช้อยู่ที่ 47.1% เพิ่มขึ้นจาก 45.1% ในปีก่อนหน้า แม้ว่าบริษัทมีกำลังการผลิตสื่อเพิ่มขึ้น 3.9% จากปีก่อนหน้า

ส่วนรายได้จากธุรกิจการให้บริการด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้น 8.5% จากปีก่อนหน้า ไปอยู่ที่ 1,544 ล้านบาท มีสาเหตุมาจากการได้รับแรงหนุนจากแคมเปญการตลาดในปีที่ผ่านมาทำให้มีการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งานบัตรแรบบิทและอัตราการใช้ การเติบโตอย่างมากของยอดการปล่อยสินเชื่อ 

รวมถึงการออกจำนวนกรมธรรม์ประกันภัยที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของรายได้จาก Digital Lab ส่งผลเชิงบวกต่อทั้งรายได้ธุรกิจการให้บริการด้านดิจิทัลและธุรกิจสื่อโฆษณา

ในส่วนของรายได้ธุรกิจการจัดจำหน่ายมีจำนวน 1,163 ล้านบาท ลดลง 23.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากการปรับกลยุทธ์ในการเพิ่มอัตรากำไรผ่านการพัฒนาแบรนด์ของตนเอง ณ สิ้นสุดปี 2566/67 มีสัดส่วนของแบรนด์ตนเองที่ 21% จาก 17% ในปี 2565/66

อย่างไรก็ตาม รายได้จาก TURTLE เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากรายได้จากพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์และรายได้ของธุรกิจค้าปลีก โดยในปีที่ผ่านมา มีการขยายสาขาของร้าน Turtle ทั้งหมด 19 ร้าน

ในปี 2566/67 บริษัทมีกำไรขั้นต้นทั้งสิ้น 1,454 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มีสาเหตุมาจากการปรับรูปแบบสินค้าโดยเน้นมาที่สินค้าของตนเองที่ให้กำไรขั้นต้นสูงกว่า 

นอกจากนี้ RCare ได้พัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานและลค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ยิ่งไปกว่านั้น การขยายสาขาของร้าน Turte นำมาสู่การประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) และการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานบริษัทฯ มีต้นทุนบริการและขายลดลง 4.5% จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 30.2% จาก 27.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

รายได้อื่นลดลง 26.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ไปอยู่ที่ 647 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากรายการพิเศษที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ ได้แก่กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทร่วม

ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเพิ่มขึ้น 24.4% จากปีก่อนหน้า ไปอยู่ที่ 2,522 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากการขยายสาขาของ TURTLE และการขยายธุรกิจของ RCash และค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ ได้แก่ ค่าวิชาชีพทนายความ เป็นต้น แต่รายได้ค่อนข้างคงที่ทำให้อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารต่อรายได้ในปี 2566/67 เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 52.4% จาก 41.6% ในปี 2565/66

นอกจากนี้ ยังมีรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ อันเกิดจากการบันทึกขาดทุนจากการจำหน่ายเงินลงทุน KEX จำนวน 2,363 ล้านบาท และขาดทุนจากการต้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 433 ล้านบาท

สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2567/68 (เม.ย.2567-มี.ค.2568) บริษัทมีกลยุทธ์มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพด้วยการให้ความสำคัญกับธุรกิจร่วมที่มีอยู่มากกว่าการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ บริษัทได้วางงบค่าใช้จ่ายลงทุน 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะถูกใช้ในธุรกิจสื่อโฆษณาะ 50% ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล 20% และธุรกิจการจัดจำหน่าย 30%

บริษัทคาดรายได้ของงวดปีนี้จะอยู่ที่ 6,000-6,500 ล้านบาท คาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทั้งในด้านการดำเนินงาน และผลประกอบการโดยรวม โดยจะได้แรงหนุนจากความต้องการในสินค้าและบริการของบริษัทที่เพิ่มขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าจะใช้โอกาสอันดีนี้ในการสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 24 พ.ค.2567 มีมติอนุมัติโอนทุนสำรองตามกฎหมายและส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญเพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมในงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท ทั้งนี้ สิ้นสุดเดือน มี.ค.2567 บริษัทมีขาดทุนสะสม 2,285.38 ล้านบาท ในงบการเงินรวม และบริษัทมีขาดทุนสะสม 1,107.13 ล้านบาท ในงบการเงินเฉพาะกิจการ

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริษัทยังอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบมอบอำนาจทั่วไป 55,900,000 บาท จากเดิม 1,377,786,787.80 บาท เป็น 1,433,686,787.80 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 559,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท เพื่อออกและเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) โดยมีแผนที่จะใช้เงินเพิ่มทุนเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และ/หรือ เพื่อการชำระคืนหนี้เงินกู้และ/หรือ เพื่อการขยายการลงทุนของบริษัท และบริษัทย่อย

Thailand Web Stat