BTS ร่วง 13.68% เซ่นงบปี 66/67 ขาดทุน 5,41 ล้าน บันทึกขาดทุน KEX-งดจ่ายปันผล
ราคาหุ้น BTS ร่วง 13.68% หลังงบปี 66/67 ขาดทุนสุทธิ 5,241 ล้านบาท รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าและจำหน่ายเงินลงทุน KEX-บันทึกส่วนแบ่งขาดทุนเงินลงทุนในบริษัทร่วม บอร์ดมีมติงดจ่ายปันผล จ่อเพิ่มทุนขาย PP จำนวน 650 ล้านหุ้น ราคาเบื้องต้น 5.36 บาท ชงผู้ถือหุ้นอนุมัติ 25 ก.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS วันนี้ (31 พ.ค.) ล่าสุด เวลา 12.07 น. อยู่ที่ 5.05 บาท ปรับลดลง 0.80 บาท หรือลดลง 13.68% ปรับตัวขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 5.75 บาท ปรับตัวลงไปทำราคาต่ำสุดที่ 5.05 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,054.30 ล้านบาท
นางสาวชวดี รุ่งเรือง ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2566/67 (1 เม.ย.2566-31 มี.ค.2567) บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 5,241 ล้านบาท จากปี 2565/66 ที่มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 1,836 ล้านบาท
โดยปัจจัยหลักจาก (1) ผลกระทบจากการรับรู้รายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวของผลขาดทุนจากการด้อยค่าและจำหน่ายเงินลงทุนใน KEX (2) การบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ส่วนใหญ่มาจาก แรบบิท โฮลดิ้งส์ ควบคู่กับส่วนแบ่งขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนใน KEX) และ (3) ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี หากหักรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (ซึ่งรวมถึงผลขาดทุนจากการด้อยค่าและจากการจำหน่ายเงินลงทุนใน KEX ดังกล่าวข้างต้น) บริษัทรายงานกำไรสุทธิหลังปรับปรุงแล้ว 275 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ (ก่อนรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ หลังหักส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อย) อยู่ที่ 1.2%
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้รวม 24,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% จากปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจาก (1) การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับ 1,094 ล้านบาท และ (2) รายได้จากการบริการและการขายที่เพิ่มขึ้น 726 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณา ภายใต้ธุรกิจ MIX และการรับรู้รายได้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูเป็นครั้งแรก ควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ภายใต้ธุรกิจ MOVE
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของรายได้ดังกล่าวถูกหักกลบด้วย การลดลงของรายได้จากการให้บริการรับเหมา 904 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูภายหลังการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2567 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ซึ่กงจะจัดขึ้นวันที่ 25 ก.ค.2567 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการงดจ่ายเงินปันผล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2567 และพิจารณาและอนุมัติการโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน 3,283,927,455 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2567 จำนวน 3,283,927,455 บาท
ทั้งนี้ ภายหลังการโอนทุนสำรองตามกฎหมายเพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมดังกล่าว บริษัทจะไม่มีผลขาดทุนสะสมในงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท และจะมีทุนสำรองตามกฎหมายคงเหลือ 178,065,674 บาท
ขณะเดียวกัน มีมติเสนอให้ผู้ถือหุ้น พิจารณาและอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวนไม่เกิน 2,600 ล้านบาท (หรือเท่ากับประมาณ 4.94% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท) โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) หุ้นละ 4 บาท เพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ราคาเสนอขายที่ 5.36 บาท/หุ้น ภายใต้สมมติฐานว่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้รับการจองซื้อเต็มทั้งจำนวน
โดยเป็นราคาเสนอขายโดยมีส่วนลด 10% ของราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นของบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ย้อนหลัง 7 วันทำการติดต่อกันก่อนวันที่คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอวาระเรื่องการเพิ่มทุนจดทะเบียน ซึ่งเท่ากับ 5.95 บาท
ทั้งนี้ ราคาเสนอขายสุดท้ายจะถูกพิจารณากำหนดอีกครั้งเมื่อคณะกรรมการบริษัทพิจารณาจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนในแต่ละครั้ง
การเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ดังกล่าว เป็นการเพิ่มความคล่องตัวให้แก่บริษัท โดยจะช่วยให้บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่สามารถใช้ในการรองรับแผนการลงทุนเพื่อขยายกิจการในอนาคตได้อย่างทันกาล โดย
บริษัทมีแผนการที่จะนำเงินทุนที่จะได้รับจากการเพิ่มทุนไปใช้ในการลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อขยายกิจการของบริษัท รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินกิจการของบริษัท และบริษัทย่อยในอนาคต
โดยบริษัทจะพิจารณาการลงทุนที่มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของบริษัท ตลอดจนให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ
และสร้างมูลค่าให้แก่บริษัท และผู้ถือหุ้นในระยะยาว ทั้งนี้ จำนวนเงินที่ใช้ในการลงทุนดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน โดยขึ้นอยู่กับโอกาสและความคุ้มค่าของการลงทุนในขณะนั้นๆ และเมื่อเทียบกับการกู้ยืมเงินแล้วจะไม่ทำให้อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings per Share) ลดลง