หุ้นไทยสัปดาห์หน้าห้ามหลุดแนวรับสำคัญ 1,310 จุด
หุ้นไทยสัปดาห์หน้าติดตามผลประชุมเฟดลุ้นส่งสัญญาณดอกเบี้ย-คดียุบพรรคก้าวไกล-การเมือง โบรกสแกนกราฟดัชนีขีดเส้นแนวรับสำคัญ 1,310 จุด ส่วนแนวต้าน 1,349 จุด
ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดการซื้อขายวันนี้(7 มิถุนายน 2567) อยู่ที่ 1,332.74 จุด เพิ่มขึ้น 4.33 จุด คิดเป็น +0.33% มูลค่าการซื้อขาย 40,330.79 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุด 1,334.12 จุด และลดลงต่ำสุด 1,325.95 จุด
10 หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด ดังนี้
ต่างชาติ-รายย่อย
หุ้นไทยในสัปดาห์หน้า(วันที่ 10-14 มิ.ย.2567) มีปัจจัยที่น่าติดตาม คือ การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 11-12 มิ.ย.67 และ Dot Plot ที่คาดจะปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้ง
ส่วนวันที่ 12 มิ.ย.67 ติดตามศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีคำร้องยุบพรรคก้าวไกล และ วันที่ 18 มิ.ย.67 คดีที่อัยการสูงสุดจะส่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ผิด ม.112 นอกจากนี้ติดตามการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน
1310 ห้ามหลุด
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า สัปดาห์นี้ SET มีปรับตัวลงต่อเนื่องจนหลุดแนวรับสำคัญ 1330 จุด ซึ่งถือเป็นการทำ New Low ในรอบกว่า 3 ปี ระยะสั้น SET กำลังอยู่ในจุดเลือกทิศทางระหว่างเป็นขาลงต่อเนื่อง หรือ รีบาวด์กลับขึ้นแรง ตามสถิติที่เคยเกิดมาหลายๆครั้งตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากปรับตัวลงต่อ มีแนวรับสำคัญถัดไปจะอยู่บริเวณ 1,310 จุด ส่วนแนวต้าน 1,342 / 1,349 จุด
กลุ่มที่นำตลาดต่อเนื่อง ได้แก่ FOOD, ICT, และ HELTH
กลุ่มที่พักตัวโซน Weakening ได้แก่ TOURISM, PETRO, และ COMM
กลุ่มที่อยู่ในโซน Improving และทิศทางดีขึ้น ได้แก่ ETRON และ CONMAT
กลุ่มที่อ่อนแอกว่าตลาดต่อเนื่องได้แก่ PROP, FIN, ENERG, และ CONS
โดยกลุ่ม Electronic Components กราฟเบรกแนวต้าน Downtrend line ในภาพใหญ่ สะท้อนถึงโอกาสจบทิศทางลบ และลุ้นฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นขาขึ้นรอบใหม่หากผ่านแนวต้านบริเวณ 9,630 - 9,830 จุด
ทั้งนี้แนะนำ Trading หุ้น KCE กราฟเบรกแนวต้าน 41.25 บาท ขึ้นมามองมีโอกาสขึ้นต่อเพื่อเบรกแนวต้าน 42.50 บาท เพื่อเป็นขาขึ้นต่อเนื่องอีกครั้ง โดยมองเป้าหมายคือการปิด Gap ที่ 45 บาท
และ หุ้น CCET กราฟเบรกแนวต้าน 3.76 บาทขึ้นมาซึ่งถือเป็นการทำ New High ในรอบกว่า 10 ปีมองกราฟมีโอกาสขึ้นต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายการขึ้นหลักบริเวณ 4.24 บาท