posttoday

Financial War Game! จี้ ตลท.คุม SHORT NVDR - Robot - Naked Short ก่อนดับทั้งตลาด

19 มิถุนายน 2567

เกมการเงิน "Short NVDR - Robot Trade - Naked Short" จัดหนักบริษัทดีในประเทศและต่างประเทศโดนทุบเสียหายหนัก คาดหวัง ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯเร่งฟื้นเชื่อมั่น อุดช่องโหว่ตลาดทุน ก่อนเสียหายบานปลายซ้ำรอยวิกฤติต้มยำกุ้ง

     เศรษฐกิจประเทศไทยมาถึงจุดที่หากยังไม่ทำอะไรจะเกิด "วิกฤติ" ขึ้นมาจริงๆ จากตอนแรกที่ยังไม่ "วิกฤติ" แต่ตอนนี้ถึง "จุดเริ่มของวิกฤติ" เนื่องด้วย "ความเชื่อมั่นตลาดทุน"ถูกทำลาย ลุกลามบานปลายไปยังธุรกิจต่างๆ

     กว่า "บริษัท" จะก่อร่างสร้างตัวให้เติบโตขึ้นได้ต้องอาศัยหลายปัจจัย ทั้ง 1.ฐานทุนที่แข็งแรง 2.ต้องมีโพรดักส์หรือบริการที่ดี ส่งเสริมเกิดเครดิตหรือความเชื่อมั่นในธุรกิจ และ 3.ทีมงาน บุคลากร ร่วมมือรวมใจจนกลายเป็นองค์กรธุรกิจ

     สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้คือ "ตลาดหุ้นไทย" ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน(2 ม.ค. - 18 มิ.ย. 2567) ปรับลดลง -9.48% โดยดัชนีขึ้นไปแตะระดับสูงสุด ในวันที่ 4 ม.ค.67 ปิดที่ 1,434.59 จุด และลดลงต่ำสุดในวันที่ 17 มิ.ย.67 ปิดที่ 1,296.59 จุด

     เชื่อหรือไม่ว่า "มูลค่าการซื้อขาย" เฉลี่ยต่อวัน 43,360.96 ล้านบาท เคยพีคไปสูงสุด 74,843.96 ล้านบาท และต่ำสุด 25,076.63 ล้านบาท ขณะที่ต่างชาติขายสุทธิสะสมกว่า 1 แสนล้านบาท

     การร่วงแรงของดัชนีหุ้นไทย กระทบความมั่งคั่ง(Wealth) เงินฝากลดลง เมื่อ Wealth เริ่มลดลง นักลงทุนเริ่มชะลอ ทุกคนรัดเข็มขัดไม่อยากจับจ่ายใช้สอย ไม่อยากลงทุน สิ่งเหล่านี้กระทบต่อธุรกิจโดยรวมอย่างแน่นอน 

     คำถามคือ ตลาดหุ้นร่วงแรงแบบนี้ "ปกติ" ใช่หรือไม่ ? ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจที่ไม่ดี ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่ดี ราคาหุ้นย่อมปรับตัวลดลงเป็นธรรมดา หากมองเช่นนี้ก็ไม่ผิดแปลก 

     แต่.. อยากให้ตั้งข้อสังเกตุว่า "ตลาดทุนมีเครื่องมือทางการเงิน(Financial Instruments)"จำนวนมากทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพ ทั้ง ระบบเทรดที่สามารถซื้อและขายได้ , Short Selling ฯลฯ ทำให้ตลาดเข้าสู่สมดุลย์ แต่แท้จริงแล้วอุปกรณ์ที่คิดว่ามีครบ จริงๆอาจจะไม่ครบ และเมื่อไม่ครบก็เกิด "ช่องว่าง ช่องโหว่" ซึ่งคนที่ใช้ช่องโหว่นี้เป็นก็เข้ามาหาประโยชน์ ทำให้เกิดผลกระทบกับตลาดทุนโดยรวมมากเกินความจำเป็น สุดท้าย"กระทบความเชื่อมั่น"ในที่สุด 

     ยกตัวอย่างเช่น หุ้นตัวหนึ่ง ราคาปรับตัวลดลงค่อนข้างเยอะ ทั้งๆที่พื้นฐานของบริษัทไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ด้วยราคาร่วงลงแรงจนอาจจะเริ่มคิดได้ว่ามันต้องมี Inside บางอย่างถึงทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลง ซึ่ง ณ วันนี้ หุ้นในตลาดกำลังเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว และหากถามว่าวันนี้หุ้นถูก หรือ แพง ? คำตอบส่วนใหญ่มักจะบอกว่า "ถูก" แต่ ถามว่า ถูกแล้วซื้อหรือไม่ ? คำตอบคือ "ไม่" ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า "พื้นฐาน(Fundamental)ของบริษัท กับ ราคาหุ้นไม่ได้ไปด้วยกัน แยกออกจากกันชัดเจน" พอการลงทุนมันเกิดจากอารมณ์ความรู้สึกจน ไม่สามารถควบคุมได้ ลักษณะปลาใหญ่กินปลาเล็ก ขึ้นอยู่กับว่าใครควบคุมอารมณ์ได้คนนั้นได้ประโยชน์มากกว่า 

     และอีกหนึ่งเครื่องมือที่อาจผิดปกติ นั่นก็คือ "Robot Trade" การซื้อขายที่รวดเร็วที่ไม่สามารถมีใครคีย์ข้อมูลแข่งได้สร้างความได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์ ดังนั้นหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปิดจุดบอดตรงนี้ได้จะช่วยนักลงทุนไทยได้

     อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจับตา นั่นก็คือ "Short Sell" สถานการณ์ตอนนี้เกิดการขายชอร์ตหุ้นจำนวนมาก ถามว่าทำได้หรือไม่ แน่นอนว่าหากมีหุ้นก็ขายชอร์ตได้ไม่ผิดกฎ แต่ที่น่าสนใจคือ ทำไม "Short ที่ NVDR" เพราะต้องเข้าใจก่อนว่า NVDR เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นมี Foreign Limit (ข้อจำกัดหุ้นต่างด้าว) ซึ่งนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจหุ้นไทยค่อนข้างเยอะแต่ไม่สามารถซื้อได้เพราะ Foreign ขึ้นเยอะ แต่พอซื้อ Local ปิดสมุดบัญชีมันไม่ได้ Dividend เลยต้องทำ NVDR ขึ้นมา 

     ในทางกลับกันขาซื้อ NVDR ถ้าเป็นนักลงทุนต่างชาติ คนที่ต้องการถือระยะยาวเพื่อรับเงินปันผลควรต้องซื้อ แต่..ทำไมต้อง SHORT NVDR ? ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การ Short ก็คือ การที่เราไปยืมหุ้น แล้วนำไปขาย พอมีการจ่ายเงินปันผล ก็ต้องนำปันผลมาจ่ายคืน เพราะหุ้นไม่มีแล้ว ขายไปแล้ว ถ้าช่วงนี้มีปันผลก็ต้องจ่ายปันผลให้กับคนที่เรายืมมา Short แล้วพอเราไปซื้อ Cover คืนก็นำหุ้นมาคืน เรื่องจบ แต่หากเป็นต่างชาติ อยาก Short หุ้นไทย ไปยืมหุ้นคนไทย ซึ่งไม่ต้องแปลง NVDR ก็ได้เพราะขายในกระดานไทย วอลุ่มเยอะ ถึงเวลาต้องจ่าย Dividend ก็ไม่จำเป็นต้องต่างชาติ เป็นคนปกติก็จ่ายตรงได้เลย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไป NVDR แล้วไป Short ถ้าจะ Short จริงๆก็ไปยืมหุ้น Local แล้วก็ Short เสร็จ มี Obligation ที่ต้องจ่าย 

     ดังนั้นหากบอกว่า "คนที่ไป Short NVDR เป็นคนที่ผิดปกติ" ใช่หรือไม่ อาจเป็นคนที่ไม่อยากให้ใครเห็นความผิดแปลกนี้ใช่หรือไม่ เพราะต่างชาติตัวจริงสามารถ Short ได้เลย นี่คือความผิดแปลกที่ไม่น่าเกิดขึ้น แม้ล่าสุด ตลท.เพิ่มมาตรการ Uptick Rule ทุกหลักทรัพย์หรือการขายชอร์ตที่ราคาสูงกว่าที่จะเริ่มใช้ 1 ก.ค.นี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีแต่อาจจะช้าไปแล้วก็เป็นได้

     "อีกข้อสังเกตุคือนักลงทุนไทยสามารถอำพรางตนแปรสภาพเป็นนักลงทุนต่างชาติได้เพียงตั้งนิติบุคคลในต่างประเทศแล้วค่อยติดต่อบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์เพื่อใช้บริการ และถ้าไม่ขายชอร์ต ผ่าน NVDR ก็จะไม่กระทบกับนักลงทุนต่างชาติ การที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันหุ้นไทยที่ลดลงเป็นเท่าตัวจากอดีตแสดงถึงต่างชาติตัวจริงมีสัดส่วนในตลาดหุ้นไทยน้อยมาก"

     และอีกหนึ่งผู้ร้ายในเงา นั่นก็คือ "Naked Short Selling" ไม่มีหุ้นก็ส่งคำสั่งขายได้ไม่มีลิมิต เปรียบเหมือนจับเสือมือเปล่า ที่ระบบระเบียบและอำนาจหน่วยงานกำกับดูแลของไทยไม่เอื้อต่อการตรวจสอบรายชื่อผู้กระทำผิดได้ นี่ถือเป็นอีกช่องโหว่ที่ผู้รับฝากทรัพย์สิน หรือ Custodian อันเป็นหน่วยงานที่เก็บหุ้นของนักลงทุนสถาบัน รวมถึง การชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์กระทำในเวลาเดียวกัน (Delivery Versus Payment หรือ DVP) ตามหลักการนักลงทุนสถาบันได้รับความไว้วางใจว่าน่าเชื่อถือจึงไม่ต้องตรวจสอบ ซึ่ง นักลงทุนสถาบันต่างประเทศจะขายปริมาณมากแค่ไหนก็ได้ แม้จะไม่มีหุ้นในมือ เพียงแต่ต้องซื้อคืนเพื่อปิดสถานะสิ้นวัน หรือคัสโตเดียนที่เป็น Omnibus Account อาจใช้เทคนิคการโยกหุ้นในกลุ่มมาปิดสถานะไว้ชั่วคราวได้ จากนั้นค่อยซื้อคืนในวันถัดไป 

     "ระดับสากลพวกคัสโตเดียนที่ต้องสงสัยอาจถูกหน่วยงานกำกับดูแล ขอข้อมูลตรวจสอบได้ว่ามีหุ้นให้ยืมจริงหรือไม่ ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทยยังเข้าถึงการตรวจสอบตรงนี้ไม่ได้จึงเป็นคำถามว่าควรหยุดการขายชอร์ตจนกว่าระบบตรวจสอบจะทำได้หรือไม่

     เพราะไม่อย่างนั้นการเกิด "Short Sell" อาจสร้างวิกฤติที่เหมือนกับ "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ที่ "จอร์จ โซรอส"พ่อมดการเงิน ผู้ที่เห็นช่องโหว่เข้ามาโจมตีค่าเงินบาท บานปลายจนเกิดการลอยตัวค่าเงิน กลายเป็นวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่ง Naked Short ที่เกิดตอนนี้ก็เช่นกัน เพราะมีผู้ที่เห็นช่องโหว่เข้ามาทำลายตลาดทุนไทย ด้วยการทำลายความเชื่อมั่นกิจการไปทีละแห่ง และหากปล่อยไว้ไม่ทำอะไรอาจลุกลามบานปลายสร้างความเสียหายในวงกล้าง สุดท้ายธุรกิจอยู่ไม่ได้ ไปต่อไม่ได้ ขาดสภาพคล่องจนล้มหายตายจากไปในที่สุด" 

     สุดท้ายนี้ อย่าปล่อยให้คนที่เป็น "Financial Game" เห็นช่องโหว่ในตลาดทุนได้อีก จงอุดรูรั่วทุกจุดเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการลงทุน ปกป้องนักลงทุนไทยอย่างจริงใจ และหวังเพียงว่าวิกฤติตลาดทุนจะผ่านพ้นไปด้วยดี ความเชื่อมั่นกลับคืนมา พร้อมกับเศรษฐกิจไทยกลับมายืนได้อย่างแข็งแกร่ง หนีห่างคำว่าซ้ำรอยวิกฤติต้มยำกุ้ง